ในที่สุดก็มาถึงวันสุดท้ายแล้ว ไม่ขอเกริ่นอะไรมาก เริ่มเลยดีกว่า
ย้อนกลับไปอ่านวันก่อนหน้าได้ที่นี่ >>> วันที่ 1, วันที่ 2, วันที่ 3
23 พฤษภาคม 2560
วันนี้เรามีแผนไป Henderson Wave เราเลยตื่นกันแต่เช้านิดนึง (มันก็เวลาปกติที่เราตื่นไปทำงานกันนั่นแหละ)
หลังจากอาบน้ำอาบท่าเสร็จก็เก็บของเพื่อเช็คเอาท์ สำหรับอาหารเช้ามื้อนี้ ผมเบื่ออาหารที่ที่พักเตรียมไว้ให้แล้ว และเพื่อนก็วางแผนไว้ว่าจะไปกินที่ร้าน Ya Kun อยู่แล้ว ผมเลยไม่กินอาหารที่ที่พักเลยไม่รู้ว่าวันนี้มีแอปเปิ้ลเขียวหรือแอปเปิ้ลแดง
เมื่อเราเช็คเอาท์แล้วเราก็ฝากกระเป๋าไว้กับที่พักก่อน โดยเขาจะให้เอาเข้าไปเก็บไว้ที่ห้องฝากของที่อยู่หลังเคาน์เตอร์ครับ (ประตูทางซ้ายที่อยู่ในรูปข้างล่าง) อ้อ อย่าลืมเอาผ้าขนหนูมาคืนตอนเช็คเอาท์ด้วยนะครับ
จากนั้นเราก็ขึ้น MRT ไปลงสถานี Harbour Front เพื่อต่อรถเมล์ไปลงที่ป้าย Opp Blk 1 แล้วเดินย้อนกลับมาร้าน Ya Kun สาขา Safra Mount Faber
ของกินที่เป็น Signature ของร้านนี้คือ Kaya Toast ครับ แต่เราสั่งเป็นชุด Happy Meal (จริง ๆ ไม่ได้ชื่อชุดนี้นะครับ จำไม่ได้ เลยตั้งชื่อให้เขาใหม่) จะได้ Toast แล้วก็ไข่ลวก 2 ฟองใหญ่ ๆ กับสั่งเครื่องดื่มกันอีกคนละแก้ว หน้าตาก็ตามรูปข้างล่างนี่แหละครับ (อันนี้ผมใส่ซอสเยอะไปหน่อย กะให้มันมีสีสันตอนถ่ายรูปเฉย ๆ เค็มเลย แต่พอกินกับขนมปังที่หวานแล้วพอดีแฮะ)
หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ เราก็เดินย้อนกลับมานิดนึง ก็จะพบกับสะพาน Henderson Waves โดยส่วนตัวผมชอบถนนแถวนี้ เพราะมันร่มรื่นดี ให้ความรู้สึกเหมือนไม่ได้อยู่ในเมืองใหญ่เลย
หลังจากเดินขึ้นเขามานิดนึงเราก็เจอกับเป้าหมายของเรา เย้ เดินกลับไปขึ้นรถเมล์กลับที่พักของเราได้….ไม่ใช่ละ ต้องเดินต่อไปเรื่อย ๆ สิ นี่เพิ่งเริ่มต้นเอง
เราเสียเวลาอยู่ที่โดมแรกนี้นานพอสมควร เพราะอากาศดีมากเหมาะแก่การนั่งชิลล์ + ถ่ายรูปมาก ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคนถึงชอบมาวิ่งออกกำลังกันอยู่ที่นี่ แม้ว่าจะสายแล้วแต่ก็ยังมีคนมาวิ่งอยู่เรื่อย ๆ
หลังจากออกจากโดมแรก(อาจเรียกว่า คลื่น แทนโดมก็ได้นะครับ)ก็พบว่า…โดมถัดมา ใหญ่กว่าโดมแรกอี๊กกกกกกกกก แถมเปลี่ยนวิวจากต้นไม้เขียว ๆ เป็นตึกใหญ่น้อยที่มีท้องฟ้าสวย ๆ เป็นพื้นหลัง เราก็เลยเสียเวลาอยู่ที่โดมนี้อีกพักใหญ่เช่นกัน (ทำไมวันนี้เที่ยวชิลล์กันจัง)
ขอดูวิวตึกชัด ๆ หน่อยซิ ชอบสิงคโปร์ก็ตรงที่อากาศบ้านเขาสะอาดมากกกกก ถ่ายวิวแล้วเห็นได้ไกลไม่มีฝุ่นควันมาบัง
ออกจากโดมที่ 2 ก็เจอโดมที่ 3 เป็นโดมสุดท้าย ซึ่งไม่แตกต่างอะไรจากโดมแรกเราเลยเดินผ่านไปเลย
ก็จบกันไปแล้วสำหรับสะพาน Henderson Waves หา !?!?! เดี๋ยว ๆ จบเร็วจัง ขอเพิ่มข้อมูลเกี่ยวกับ Hender Waves สักหน่อยดีกว่า
Henderson Waves มีชื่อจริง ๆ คือ Undulating wave มีความสูงจากพื้นถนน 36 เมตร (เลขท้าย 2 ตัวงวดหน้า) และยาว 274 เมตร (เลขท้าย 3 ตัวงวดหน้า) ทำจากไม้ Balau ตอนกลางคืน (1 ทุ่ม – ตี 2) จะมีไฟสวยงามตามคลื่นด้วยครับ
จบจาก Henderson Waves ต่อไปก็จะเป็นสวนที่มีชื่อว่า Telok Blangah Hill Park ที่สวนนี้มีลิงป่าด้วยนะครับ เห็นมีป้ายเตือนแต่เราโชคดีไม่เจอ ที่สวนนี้มีจุดชมวิว 360 องศาด้วยครับ(เห็นป้ายบอกแบบนั้น) แต่พอขึ้นไปจริง ๆ ก็ไม่ได้ 360 องศาอย่างที่ป้ายว่า แล้วแดดตอนนั้นก็แรงมากถ่ายรูปไปก็ไม่สวยเลยไม่ได้ถ่ายรูปมาครับ ดูรูปป้ายเตือนลิงป่าแทนละกันครับ
สวนนี้ร่มรื่นดีครับ(ยกเว้นไอ้จุดชมวิว 360 องศานั่นแหละ) มีที่จอดรถด้วยครับ สามารถขับรถมาจอดได้เลย วันนั้นเห็นมีกองถ่ายหนังด้วยครับ
ตลอดทางเดินประมาณ 450 เมตร ก็มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นอยู่ข้างทางสมกับเป็นสวนสาธารณะดีครับ
เดินมาสักพัก ก็เจอกับ Forest Walk เป็นทางเดินเหล็กท่ามกลางป่าเขา จากที่เดินประมาณ 1.3 กิโลเมตร พบว่าคนส่วนใหญ่จะวิ่งสวนทางกับทางที่เราเดินแฮะ พูดง่าย ๆ คือเขากำลังวิ่งขึ้นเขากันอยู่นั่นเอง (ใครจะมาเที่ยวที่นี่ แนะนำให้เริ่มที่ Henderson Waves แล้วจบที่ Alexandra Arch นะครับ เพราะช่วงนี้เราจะเดินลงเขารัว ๆ ไม่เหนื่อย)
ระหว่างทางก็จะมีป้ายให้ความรู้เกี่ยวกับพรรณไม้ หรือสัตว์ที่อยู่ในบริเวณนั้น ๆ ด้วยครับ ใครว่าง ๆ ก็ศึกษาหาความรู้กันได้…แต่พวกผมแค่ดูผ่าน ๆ ครับ ไม่ได้ศึกษาอะไรละเอียด มันไม่ใช่แนวของพวกผมสักเท่าไหร่
จะว่าไป ทางเดินนี้มันมีบางจุด (จริง ๆ เกือบตลอดทาง) ที่ค่อนข้างจะสูง แล้วพื้นทางเดินก็สามารถมองทะลุลงไปได้ ใครกลัวความสูงไม่แนะนำให้มาเดินที่นี่นะครับ ยิ่งจุดที่ไม่ค่อยมีต้นไม้มาบังเสาโครงทางเดิน ยิ่งหวาดเสียวนะขอบอก (จากการหาข้อมูล เขาบอกว่าสูงตั้งแต่ 3 เมตร ถึง 18 เมตรเลยทีเดียว)
เมื่อพ้นจาก Forest Walk ก็เจอกับ Alexandra Arch เป็นสะพานทรงใบไม้ยาว 80 เมตร อยู่คร่อมถนน Alexandra ถ้าอยากเห็น Alexandra Arch ในอีกแบบแนะนำให้มาตอน 1 ทุ่ม ถึงเที่ยงคืนครับ เพราะเขาจะเปิดไฟย้อมสีสะพานกันตอนนั้น
ถึงตรงนี้ก็เป็นเวลาประมาณเที่ยงครึ่งแล้ว รู้สึกได้ว่า Kaya Toast กับไข่ลวกเมื่อเช้าจะย่อยหมดแล้ว เราเลยจะต้องไปหาอาหารเที่ยงกินกัน โดยเราเลือกเดินไปที่ MRT สถานี Labrador Park เป็นระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร (วันนี้เป็นวันแห่งการเดินจริง ๆ) แล้วไปเปลี่ยนสายที่สถานี HarbourFront และไปลงที่สถานี Chinatown เพื่อไปกิน Bak Kut Teh ที่ร้าน Song Fa Bak Kut Teh สาขา Chinatown Point
กว่าจะถึงร้านก็ประมาณบ่ายโมงครึ่ง โชคดีของเราที่พอไปถึงร้านแล้วไม่ต้องต่อคิวนาน ไปถึงสามารถสั่งอาหารแล้วรอโต๊ะสักพักก็ได้กินเลย
ในเมื่อเรามาร้านที่ขึ้นชื่อเรื่อง Bak Kut Teh มีหรือเราจะพลาด (แต่ถ้ามาร้านนี้แล้วไม่สั่ง Bak Kut Teh ก็ไม่เป็นไรครับ ไม่ถือว่าผิด เผื่ออย่างอื่นมันอร่อยกว่า) เราสั่ง Bak Kut Teh กันคนละถ้วย แล้วเราก็สั่ง Braised Pork Belly มากินกันอีก 1 จานใหญ่ (ตะหงิด ๆ เหมือนว่าเราจะสั่งอะไรอีกอย่าง แต่ตอนนี้คิดไม่ออกแล้ว เพราะถ่ายรูปมาแค่ 2 อย่างนี้ หรือจริง ๆ สั่งมาแค่ 2 อย่างนี้)
สำหรับ Bak Kut Teh นี้ ผมชอบนะ ถึงแม้ว่าบางคนที่รีวิวไว้จะบอกว่ารสชาติไม่เข้มข้น อาจจะเพราะว่าผมโดนเลี้ยงดูด้วยอาหารของอาม่าที่มีรสชาติค่อนข้างจืด (ปกติผมกินอาหารไม่ปรุงเพิ่มด้วย ได้มาแบบไหน กินแบบนั้นเลย เป็นรสออริจินอลของร้านนั้น ๆ ไปเลย) แต่ติดตรงที่น้ำซุปนี่ร้อนเกิ๊น กว่าจะกินได้ต้องรอให้เย็นสักพัก (คนจีนชอบกินอาหารร้อน ๆ แต่ทำไมอาม่าผมไม่หัดให้กินตอนร้อน ๆ เลยหว่า) แต่พอกินไปได้สักพัก น้ำซุปลดไปได้นิดเดียว พนักงานก็มาเติมซุปให้ละ เออดี ชอบ ๆ เติมอีกรัว ๆ เลย ของฟรีแบบนี้ผมชอบ แต่ขอไม่ร้อนแบบนี้ได้มั้ย มันกินยาก
สำหรับ Braised Pork Belly มันก็คือสามชั้นอบดี ๆ นี่เอง อันนี้ก็อร่อยดีครับ ถูกใจคนชอบกินสามชั้นอย่างผมมาก เนื้อนุ่มมากกกกกกกกกก เห็นชิ้นหนา ๆ แบบนี้ แต่ไม่เหนียวเลย ดีงามพระรามสามมาก พูดถึงแล้วก็อยากกินอีก
หันไปด้านข้างโต๊ะ ก็พบกับก๊อกทองเหลือง ตอนแรกก็สงสัยว่านั่นคือก๊อกน้ำสำหรับล้างมือหรอ แต่ทำไมติดป้ายว่าระวังร้อน ก็เลยถามพนักงาน ได้ความว่านั่นคือก๊อกน้ำชา อย่าทะลึ่งไปเปิดมาล้างมือเชียวล่ะ มือพองขึ้นมาแล้วอย่าหาว่าไม่เตือน (มัวแต่ถ่ายรูปอาหาร เลยไม่ได้ถ่ายรูปก๊อกมานะครับ)
หลังจากเรากินของคาวเสร็จ เขาบอกว่า “กินคาวไม่กินหวาน ก็ไม่เป็นไร” ไม่ใช่ “กินคาวไม่กินหวาน สันดานไพร่” เราเลยต้องไปหาของหวานกินต่อที่ร้าน Dessert Hut ครับ แปลกใจว่า นี่ก็บ่าย 2 ครึ่งแล้วทำไมยังเห็นพนักงานออฟฟิศยังมานั่งกินของหวานกันเต็มร้านเลย เขาไม่ทำงานกันรึ
สำหรับร้านนี้มีของหวานอยู่หลายอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นแบบร้อนหรือแบบเย็น เราเลยสั่งกันคนละอย่างจะได้เปลี่ยนกันชิมได้ เริ่มที่คนแรกสั่ง Almond Milk with Black Glutinous Rice หรือก็คือข้าวเหนียวนมอัลมอนด์ อันนี้พูดเลยว่ารสชาติเลวร้ายมาก กลิ่นมันเกินบรรยายจริง ๆ
คนถัดมาสั่ง Grass Jelly with Red Bean หรือ เฉาก๊วยถั่วแดง จำไม่ได้แล้วว่าเฉาก๊วยหนึบหนับขนาดไหน จำได้แค่ว่าถั่วแดงจัดเต็มมาก
อีกคนสั่ง Iced Red Bean Drink แต่ดูจากรูปเห็นแต่ข้าวโพดแฮะ ถั่วแดงมันอยู่ข้างล่าง
ส่วนผมสั่ง Chendol กินอีกแล้ว (มาทั้งที ต้องเปรียบเทียบให้ได้ทุกร้านเท่าที่จะมีโอกาส) สำหรับร้านนี้ ผมว่าน้ำตาลมะพร้าวมันหวานไป แล้วตัวลอดช่องก็น้อยด้วย ขอยกให้ Chendol ที่ Rasapura Master เป็น The Best Chendol ของทริปนี้ละกันครับ
สรุปค่าเสียหายตกคนละประมาณ 2.50 – 3.20 SGD ครับ หลังจากนั้นเราก็ไปเดิน FairPrice กันเล่น ๆ ครับ เพราะเพื่อนมันบอกว่าอยากได้บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป แล้ว FairPrice มันอยู่ใกล้ ๆ พอดีเลยแวะไปดู
FairPrice เป็นซูเปอร์มาร์เก็ตแฟรนไชส์เจ้านึงของสิงคโปร์ครับ ใครอยากได้น้ำเปล่าราคาถูกก็แนะนำที่นี่เลยครับ วันนั้นผมเจอว่ากำลังมีโปรโมชัน 3 ขวด 0.95 SGD ถูกที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาในสิงคโปร์ แต่ด้วยแต่ละคนขี้เกียจถือกันเลยไม่ได้ซื้อมาครับ
หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจที่ FairPrice เราก็ไปหาซื้อของฝากกันต่อที่ Mustafa Centre ครับ สำหรับการเดินทางก็ขึ้น MRT จากสถานี Chinatown แล้วไปลงที่สถานี Little India รวดเดียวเลยไม่ต้องเปลี่ยนสาย จากนั้นก็เดินตามแขกไป เห็นแขกเดินไปทางไหนเยอะ ๆ ก็เดินตามไป เจอ Mustafa Centre แน่นอน
ที่ Mustafa Centre นี่ของขายเยอะมากกกกกกกกก มีตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบ (อันนี้ก็เวอร์ไป) แต่มีทุกอย่างจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็น เครื่องสำอาง(อันนี้ไม่ได้เดินดูแฮะ ว่ามีอะไรบ้าง รู้แค่ว่ามี) น้ำหอม สบู่ แชมพู ของใช้ภายในบ้าน เสื้อผ้า เครื่องครัว หนังสือ เกม ขนม ตุ๊กตา กระเป๋า และอื่น ๆ อีกมากมาย แต่ไม่ขอคอมเมนท์ละกันว่าเป็นของจริงของปลอมอะไรยังไง ก่อนที่จะซื้อก็ดูกันดี ๆ นะครับ บางทีอาจจะได้ของดีราคาถูก หรือของปลอมราคาแพงก็ได้
หลังจากช็อปปิ้งกันนานพอสมควร เราก็กลับไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้กับที่พัก และก่อนที่จะไปจาก Chinatown ก็ได้แวะซื้อหมูแผ่นที่ร้าน Bee Cheng Hiang ก่อน โดยผมซื้อหมูแผ่นกล่อง 280g ราคากล่องละ 21 SGD (จำราคาไว้ดี ๆ) จากนั้นก็ขึ้น MRT ไปสนามบิน
ตัดภาพมาที่สนามบิน Changi ไฟลท์กลับนี้เรากลับด้วยสายการบิน Air Asia ที่เคาน์แทบไม่มีพนักงานเลย เพราะที่นี่เขาเน้นระบบอัตโนมัติ ชั่งกระเป๋าที่จะโหลดเอง ติดป้ายเอง ดรอปกระเป๋าเองแทบทุกอย่าง แต่ก็มีพนักงานคอยให้ความช่วยเหลืออยู่นะครับ ไม่ใช่ไม่ดูแลผู้โดยสารเลย
หลังจากเราดรอปกระเป๋าที่จะโหลดเสร็จ เราก็เข้าไปเจอ ตม. ซึ่งก่อนที่จะเข้าตม.นี้แปลกใจมาก ไปกัน 4 คน แต่เขาตรวจกระเป๋าแค่ 2 คน ปล่อยให้ผมกับเพื่อนอีกคนเดินเข้าไปเลย พอเจอ ตม. ก็ไม่ถงถามสุขภาพสักคำอีกเช่นเคย เมื่อเข้ามาเราก็เดินหาของกินกัน ก่อนที่จะพบว่าตรงที่ขายของกินอยู่ใกล้เกิ๊น ขี้เกียจเดินไปกิน กลัวกลับมาไม่ทันเลยไม่กินกันครับ
ระหว่างที่รอก็เดินดูร้านขายของแถวนั้นเล่น ๆ ก็เจอร้าน Bee Cheng Hiang อีกแล้ว ไหน ๆ แล้ว ก็ลองไปสำรวจราคาดูหน่อยละกัน ว่าที่สนามบินบ้านเขาจะขายของแพงเหมือนสนามบินบ้านเรามั้ย
บร๊ะเจ้า อยู่นี่ถูกกว่าซะงั้น หมูแผ่นอยู่นี่ขายกล่องละ 19 กว่า ๆ SGD เอง (จำราคาไม่ได้ จำได้แค่ว่ามัน 19) อาจจะเป็นเพราะว่ามันหักภาษีออกแล้วนั่นเอง สำหรับใครที่จะซื้อหมูแผ่นหรือผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของร้านนี้แนะนำที่สนามบินเลยนะครับ
เมื่อได้เวลาเราก็ไปคอยที่เกท รอไปสักพักก็ได้ยินเสียงภาษาอังกฤษสำเนียงไทยอันสุดแสนจะคิดถึงเรียกขึ้นเครื่อง (น้ำตาจะไหล) ก็ถือว่าเป็นอันจบทริปนี้ครับ
อ้อ ลืมบอกไปว่า การจองตั๋วเครื่องบินไป-กลับสิงคโปร์ครั้งนี้ เราจองกับ Traveloka ครับ เพราะนอกจากจะได้ราคาที่คุ้มค่าแล้ว ก็ยังมีโปรโมชันลดราคามาให้ได้ใช้กันอยู่เรื่อย ๆ ถ้าใครสนใจก็ลองเข้าไปดูกันได้ตามลิงค์ที่แปะไว้นะครับ
ปล. ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด หรือขี้เกียจ (น่าจะเป็นกรณีหลังนี่แหละ) จะเขียนบล็อกบันทึกการไปเที่ยวแก่งกระจาน และ เขาพะเนินทุ่ง เมื่อวันที่ 24-25 มิ.ย. ที่ผ่านมานี้ด้วยครับ ถ้าใครอยากอ่าน ก็อย่าลืมเตือนด้วยแล้วกัน
ปล.2 จริง ๆ ทริปนี้ได้ถ่ายวิดีโอมาด้วย เดี๋ยวถ้าตัดต่อเสร็จแล้วจะเอามาแปะไว้ท้าย Entry นี้อีกทีนะครับ
ปล.3 และเพราะไอ้การตัดต่อวิดีโอใน ปล.2 เลยไม่รู้ว่าจะได้เขียนบล็อกอีกทีเมื่อไหร่
Comments
Pingback: [Trip] ตามล่าลอดช่องสิงคโปร์ : วันที่ 2 – JiJaKuNg
Pingback: [Trip] ตามล่าลอดช่องสิงคโปร์ : วันที่ 1 – JiJaKuNg