หลังจากที่เราผจญภัยที่สิงคโปร์ผ่านไป 1 วัน (อ่านย้อนหลังได้ที่นี่ [Trip] ตามล่าลอดช่องสิงคโปร์ : วันที่ 1) เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา(ไอ้คำนี้นี่แหละที่ทำให้เสียเวลา)เรามาเริ่มการผจญภัยวันที่ 2 กันเลยดีกว่า
21 พฤษภาคม 2560
ตามแผนของเรา เช้านี้เราจะไปถ่ายรูปแสงเช้ากันที่บริเวณ Merlion แต่เช้าวันอาทิตย์ MRT ขบวนแรกที่ผ่านสถานี Chinatown ประมาณ 6.30 น. ซึ่งกลัวว่าจะไม่ทันแสงเช้าเพราะโลกของ Chinatown กับสถานี Raffles Place มันอยู่ขนานกัน ต้องมีการต่อรถกันหลายต่อ เลยตัดสินใจกันว่าจะเดินไปจากที่พัก น่าจะใกล้กว่าไม่ต้องอ้อม
แต่…เมื่อถึงเวลาที่ต้องตื่นจริง ๆ ไม่มีใครตื่นกัน ทุกคนต่างพร้อมใจกันเมินเฉยต่อเสียงนาฬิการปลุก ตื่นมากดหยุด (หยุดเลยนะ ไม่ใช่ snooze) แล้วก็นอนต่อจนเลยเวลาแสงเช้า จน 8.30 น. ค่อยตื่นมากินอาหารเช้ากัน โดยอาหารเช้ามื้อนี้เรากินกันที่ที่พักเลยครับ โดยที่พักจะเตรียมอาหารให้ดังนี้ครับ
- ซีเรียล มี 2 แบบ คือ คอร์นเฟลคธรรมดา กับ ไอ้ที่มันเป็นรสช็อกโกแลตเม็ดเล็ก ๆ
- ขนมปัง พร้อมเตาปิ้ง และ เนย และ เนยถั่ว นอกจากนี้ยังมี น้ำตาล ผงไมโล และแยม ให้อีกด้วย
- แอปเปิ้ล
- กาแฟ ก็กดจากตู้เอาเลยครับ มันจะชงให้อัตโนมัติตามเมนูที่เราเลือก
เป้าหมาย(ใหม่)แรกของวันนี้คือ ArtScience Museum ครับ การเดินทางก็ไม่ยาก นั่ง MRT ไปลงสถานี Bayfront แล้วเดินต่ออีกนิดหน่อยก็ถึงเลย แต่ก่อนอื่น ขอแวะเล่นบ่อน้ำวนหน้า The Shoppes at Marina Bay Sands สักครู่ครับ
ความพิเศษของบ่อนี้คือ เราสามารถได้ยินเสียงของคนที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามเราได้ ใครผ่านแถวนั้น ก็ลองแวะเล่นดูกันครับ
เดินอีกนิดนึงก็มาถึงจุดหมายของเรา ที่นี่เขาไม่ให้เอาขาตั้งกล้องเข้านะครับ เราสามารถฝากไว้ที่เคาน์เตอร์หน้าทางเข้าได้ และที่เคาน์เตอร์นี้เราได้รับข้อเสนอจากคุณป้าพนักงานว่า ถ้าเรามีบัตร Sands Reward เราจะสามารถซื้อตั๋วเข้าชมนิทรรศการได้ในราคา ซื้อ 1 แถม 1 จากราคาใบละ 17 SGD ก็จะเหลือใบละ 8.5 SGD เรามากัน 4 คน ทำแค่ 2 ใบก็พอ แต่…ไม่รู้อะไรดลใจ เราเลยสมัครกันคนละใบเลย
โดยคุณป้าจะเอาใบสมัครให้เรากรอก (พร้อมกับใส่หมายเลขเจ้าหน้าที่ของป้า) พอกรอกเสร็จก็ให้เราเอาไปยื่นที่เคาน์เตอร์ใน Marina Bay Sands แล้วก็เอาไอ้บัตรนี้ไปยื่นซื้อตั๋วเข้าชมนิทรรศการที่เคาน์เตอร์ขายตั๋ว
แต่…เมื่อถึงที่เคาน์เตอร์ขายตั๋ว เจ้าหน้าที่บอกว่า ใช้แค่ใบเดียวก็พอ เอ้อ…แล้วเราจะสมัครทำไมกันเยอะแยะ ดีนะที่สมัครฟรี
วันที่เราไปมีนิทรรศการอยู่ 3-4 อัน เราเลือกเข้าชมนิทรรศการชื่อ Future World ครับ เมื่อเข้าไปก็เจอกับห้องฉายหนังเล็ก ๆ ก่อน ในห้องนี้มีการแสดงแสงสีเสียงสั้น ๆ ประมาณ 4 นาทีชื่อ Crow อยู่ สวยงามตระการดีครับ
ถัดจากนั้นก็จะเจอห้อง Black Waves เป็นห้องที่ฉายอนิเมชันคลื่นแบบภาพวาดญี่ปุ่นบนจอ 180 องศา พร้อมกับเสียงเพลงกล่อม ยังไม่พอยังมีเบาะให้นอนด้วย ใครอยากหลบร้อนมาหาที่เย็น ๆ นอน แนะนำที่นี่เลยครับ
หลังจากเราใช้เวลาถ่ายรูปกันอยู่ในห้องนี้เกือบชั่วโมง เราก็ไปต่อกันที่ Connecting Train Block บนโต๊ะนี้เราสามารถสร้างถนนหนทาง แม่น้ำ หรือรางรถไฟได้ด้วยการนำบล็อคเหลี่ยม ๆ หลากสีมาวางแล้วมันจะสร้างเส้นทางขึ้นมาด้วยเทคโนโลยี AR นอกจากนี้เรายังสามารถเปลี่ยนมุมกล้องบนจอที่อยู่ด้านบนได้เองด้วยการเลื่อนบล็อคครึ่งวงกลมสีแดง
แล้วเราก็มาต่อกันที่ Sketch Town จุดนี้เราจะสามารถออกแบบลวดลายของบ้าน ตึก รถ หรือเครื่องบิน (UFO ก็มีนะ) ได้เอง โดยเขาจะมีกระดาษที่มีรูปร่างของสิ่งต่าง ๆ ที่บอกไว้ข้างต้นสอดไว้ให้ตามข้างโต๊ะ เราแค่หยิบมาระบายสี เสร็จแล้วก็ไปสแกนที่เครื่องจากนั้นมันก็จะปรากฏขึ้นเป็นโมเดลสามมิติบนจอ เราสามารถเอานิ้วไปจิ้มบนจอ แล้วมันจะมีการขยับดุ๊กดิ๊กตอบด้วย
นอกจากจะกลายเป็นโมเดลสามมิติในจอแล้ว เรายังสามารถทำเป็นโมเดลกระดาษสามมิติได้ด้วย โดยห้องที่ทำจะอยู่ข้าง ๆ จอเลยครับ เราสามารถเอาไปให้เจ้าหน้าที่เขาสแกนและปรินท์ให้ แล้วก็นั่งประกอบในห้องนั้นได้เลย อุปกรณ์ครบถ้วนครับ ไม่ว่าจะเป็น มีด กรรไกร หรือกาว (ไม่รู้ว่ากาวที่สิงคโปร์ต่างกับกาวที่ไทยยังไง ไม่ได้ลองดม)
ใกล้ ๆ กันนั้นมี Media Block Chair ให้เล่นด้วย มันจะเป็นบล็อกสีเหลี่ยมจตุรัสสี ๆ หลาย ๆ อัน เมื่อเราเอามาวางซ้อนกันหรือวางข้างกันมันก็จะเปลี่ยนสี ผู้ชมสามารถสร้างประติมากรรมได้เองตามใจชอบ แต่ถ้าซ้อนกันสูงมากยามจะด่านะครับ
เดินมาอีกนิดนึงก็จะเจอกับอนิเมชันน้ำตก สูงมากกกกกกกก
ตามพื้นก็มีอนิเมชันแบบอินเตอร์แอคทีฟด้วยนะเออ ผมเหยียบกบไปหลายตัวเลย แต่มันไม่ตายแฮะกระโดดต่อได้เฉยเลย
หลังจากเดินไล่เหยียบกบก็จะมาเจออีกห้องนึง ห้องนี้จะเน้นเรื่องเกี่ยวกับธรรมชาติ คราวนี้จะเปลี่ยนจากให้ระบายสีบ้านเมืองเป็นระบายสีสัตว์น้ำแทน ใน Sketch Aquarium อันนี้เราไม่ได้เล่นกัน ตรงกลางห้องก็มี Light Ball Orchestra โดยจะมีลูกบอลสี ๆ หลายสี หลายขนาด เมื่อเราไปสัมผัสหรือทำให้มันไปโดนลูกอื่นก็จะมีเสียงดนตรีออกมา ซึ่งแต่ละลูกก็จะมีเสียงต่างกันไป อันนี้เราก็ไม่ได้เล่นเช่นกันเพราะโดนเหล่าเด็ก ๆ ยึดพื้นที่ ไม่สามารถเข้าไปแย่งเด็กเล่นได้
เดินฝ่าดงเด็ก(และผู้ปกครอง)มานิดนึงก็เจอกับ Story of the Time When Gods Were Everywhere ณ ห้องนี้เราจะได้สวมบทเป็นพระเจ้า(บร๊ะเจ้าาาาาาา) ผู้สามารถดลบันดาลให้เกิดสิ่งต่าง ๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็น ดิน น้ำ ลม ไฟ ไปจนถึงสัตว์ต่าง ๆ ตั้งแต่ช้าง วัว นก หมาป่า หรือ หนอน โดยมันจะมีสัญลักษณ์แสดงถึงสิ่งนั้น ๆ ตกลงมา เราก็แค่เอามือไปแตะ สิ่งนั้น ๆ ก็จะปรากฏขึ้นมา ภาพสวย ๆ เล่นเพลินเลยทีเดียว
ถัดมาคือไฮไลท์ของนิทรรศการ(อันนี้คิดเอง) และเป็นจุดมุ่งหมายในการมาเที่ยวที่นี่คือ…. Crystal Universe ห้องนี้จะเต็มไปด้วยคริสตัล เพราะชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็น จักรวาลคริสตัล โดยจะเป็นงานอินเตอร์แอคทีฟ 4 มิติ (เขาว่างั้น) ที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนอยู่ท่ามกลางหมู่ดาว 170,000 ดวงในอวกาศ (นับเองหรอ…เปล่า ดูในเว็บเอา) ซึ่งเราสามารถเลือกรูปแบบของแสงสีเสียงได้เอง จาก iPad ที่อยู่มุมห้อง
ก็จบกันไปสำหรับการเดินนิทรรศการ Future World ที่ ArtScience Museum แต่ก่อนจะไปขอถ่ายรูปโมเดลของอาคารนี้เป็นที่ระลึกซะหน่อย
หลังจากถ่ายรูปกันเต็มอิ่มแล้วแต่ท้องหิวซะงั้น เพราะตอนนี้ก็บ่าย 2 ครึ่งแล้ว เราต้องหาข้าวกินกันได้แล้วก่อนที่โรคกระเพาะจะถามหา ซึ่งก็ไม่ได้ไปหากินที่ไหนไกล กินกันที่ฟู้ดคอร์ทของ The Shoppes at Marina Bay Sands นี่แหละครับ
ฟู้ดคอร์ทของที่นี่มีชื่อว่า Rasapura Master ความดีงามของที่นี่คือ นอกจากจะมีอาหารขายหลากหลายแนวและราคาไม่ค่อยแพงเท่าไหร่ (เมื่อเทียบกับสถานที่) ที่นี่ยังเปิดตลอด 24 ชั่วโมงอีกด้วย (เพิ่งมารู้ตอนหาชื่อของที่นี่นี่แหละ) ผมสั่งข้าวมันไก่ครับได้ข่าวว่าเป็นของขึ้นชื่อของสิงคโปร์ มีหรือจะพลาด
ตอนที่ต่อคิวซื้อ เห็นคนข้างหน้าเขาราดน้ำอะไรสักอย่างมัน ๆ เพิ่มเยอะมาก ผมก็สงสัยว่ามันจะไม่เลี่ยนหรอ แต่พอกินจริง ๆ ไอ้น้ำนั่นแหละคือความอร่อยของข้าวมันไก่เลย อยู่ที่ไทยน้ำจิ้มของข้าวมันไก่เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ น้ำจิ้มถือว่าเป็นตัววัดความอร่อยของข้าวมันไก่เลยก็ว่าได้ แต่พอมาเจอข้าวมันไก่สูตรไหหลำแบบนี้ น้ำจิ้มพริกตำของเขาแทบไม่จำเป็นต้องใส่เลย เพราะว่ารสชาติมันกลมกล่อมดีอยู่แล้ว และเนื่องด้วยผมไม่ชอบกินเผ็ดทำให้น้ำจิ้มแบบนี้แทบไม่มีความจำเป็นเลย
หลังจากกินของคาวก็ต้องหาของหวานกระแทกปาก (ตัดภาพไป เพื่อนโยนขนมอัดหน้า) หลังจากเดินหาสักพัก (จริง ๆ เล็งร้านนี้ไว้ตั้งแต่ตอนนั่งกินข้าวแล้วครับ เพราะร้านนี้มันอยู่ตรงหน้าพอดี แต่ก็ต้องเดินสำรวจดูก่อนว่ามีอะไรน่าสนใจอีกบ้าง) ก็มาตกลงปลงใจกับลอดช่องสิงคโปร์ หรือที่เรียกว่า Chendol
Chendol คือ (อันนี้ผมนิยามเองจากที่ได้ลองกินนะครับ) น้ำแข็งไสที่ข้างล่างจะใส่น้ำตาลมะพร้าวกับลอดช่องและถั่วแดง พร้อมราดกะทิข้น ๆ แล้วก็หยดน้ำตาลมะพร้าวอีกนิดนึงพร้อมโรยหน้าด้วยตัวลอดช่องอีกเล็กน้อย (มันเป็นอะไรที่ทรมานมากกับการเขียนรีวิวอาหารตอนเกือบ ๆ เที่ยงคืน)
วิธีกิน Chendol (สำหรับผม) คือ คนทุกอย่างให้มันเข้ากันก่อนค่อยกิน เพราะถ้าแยกกินแล้วไปตักโดนน้ำตาลมะพร้าวมันจะเป็นอะไรที่หวานมาก (แต่ก็หอมมาก) พอคนทุกอย่างเข้ากันทำให้ได้กลิ่นหอมของน้ำตาลมะพร้าว + ความเค็มปะแล่ม ๆ ของกะทิ + ความ…ของถั่วแดง(คิดไม่ออก) +ความหนึบหนับของลอดช่อง + ความเย็นของน้ำแข็ง(ไม่ต้องก็ได้มั้ง แต่ถ้าไม่มีน้ำแข็งนี่ มันจะหวานมากเลยนะ) ทั้งหมดนี้ทำให้ Chendol นี้อร่อยมาก (พิมพ์ไป หิวไป)
ในที่สุดก็บรรลุเป้าหมายของทริปนี้ คือการตามล่าลอดช่องสิงคโปร์ เก็บของกลับมาตุภูมิได้…จะบ้ารึ นี่เพิ่งวันที่ 2 เอง ยังเที่ยวไม่ครบเลย ใจเย็นลูกพี่
ความเท่อย่างนึงของฟู้ดคอร์ทที่นี่คือ…มีลานสเก็ตด้วยครับ กินไปดูคนเล่นสเก็ตไปเพลินจะตาย
ตามแผนเดิมที่วางไว้คือเราจะอยู่ที่ ArtScience Museum ถึงเที่ยง กินข้าวเที่ยงถึงบ่ายโมง แล้วก็ไป Cloud Forest กับ Flower Dome กันต่อ แต่ความจริงกว่าจะกินข้าวเที่ยงกันเสร็จก็เกือบบ่าย 3 แล้ว แล้วเราจะต้องไปขึ้น Marina Bay Sands ตอน 6 โมง ซึ่งเวลาแค่ 3 ชั่วโมงกับ 2 โดมไม่น่าทันแน่นอน ไม่น่าคุ้มกับค่าตั๋ว 500 กว่าบาท เราเลยต้องเปลี่ยนแผน คือไม่ไป Cloud Forest กับ Flower Dome แล้ว แต่เราจะไปตะลุยกิน ณ ย่าน Orchard กัน
เป้าหมายแรกของการตะลุยกินคือ… Godiva ณ ION Orchard ครับ ตะ ตะ แต่….ดูรูปเอาละกันครับ
น้ำตาจะไหล ขอแชร์นะครับ…แต่เมื่อเราตั้งใจจะมากินแล้ว เรื่องแค่นี้มันไม่สามารถทำให้เราละความพยายามได้ (จริง ๆ อยู่ที่ไทยก็มีนะ แต่ราคาแพงกว่าอยู่ที่สิงคโปร์หลายสิบบาท) เราเลยเสิร์ชหาสาขาอื่นที่อยู่ใกล้เคียงครับ (ประโยชน์ของการมีอินเตอร์เน็ทครับ) สาขาที่ใกล้สุดอยู่ที่ Takashimaya S.C. ซึ่งอยู่ถัดจาก ION ไม่ไกลเท่าไหร่ ถือว่าเป็นการย่อยอาหารที่เราเพิ่งกินไป
ระหว่างเดินทาง เราก็ผ่านไอติมลุงหลายร้าน แต่จุดมุ่งหมายของเราอยู่ที่ Godiva เราไม่มีทางไขว้เขวไปปันใจให้ไอติมข้างทางราคาอันไม่ถึง 50 บาทหรอก
หลังจากที่เราเข้ามาที่ตึก Takashimaya เราก็พบว่ามีงานเซลของ COACH อยู่ คนเยอะมากกกกก แต่เราไม่ได้มาช็อป เรามาเพื่อกิน (ไม่ใช่อะไรหรอก ไม่มีเงินอ่ะครับ) เราเลยรีบเดินไปที่ร้าน ผ่านฟู้ดคอร์ทที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยอาหารหลากหลายประเภทโดยเฉพาะอาหารญี่ปุ่น ทั้งของคาวและของหวาน หน้าตาน่ากินทั้งนั้น
มาถึงหน้าร้าน Godiva ก็มองไปที่เมนูที่อยู่บนตู้ มีอยู่ไม่กี่เมนูครับ ไอตินโคน 3 เมนู แล้วก็เครื่องดื่นปั่นอีกไม่กี่เมนู ราคาเมนูละ 9 SGD ตีเป็นเงินไทยก็ประมาณ 225 บาท ถูกกว่าที่ไทยหลายสิบบาทอย่างที่เคยบอกใน 3 ย่อหน้าที่แล้ว
ผมสั่ง ดาร์คช็อกโกแล็ตซอฟต์เสริฟครับ ระหว่างรอก็ถ่ายรูปช็อกโกแล็ตที่อยู่ในตู้ครับ น่ากินทั้งนั้นเลย
ไม่กี่อึดใจ ไอติมของผมก็มา
เข้มข้นสมกับเป็นดาร์คช็อกโกแล็ตจากเบลเยี่ยมเลยครับ (ไม่รู้ว่าต่างจากดาร์คช็อกโกแล็ตจากที่อื่นยังไงแต่พูดให้มันดูอลังการไว้ก่อนครับ) ไม่เข้มข้นหรือหวานจนเกินไป สามารถกินได้เรื่อย ๆ จนหมดโคนเลยครับ แต่กินแล้วก็ไม่ได้ Go Diva แบบที่เพื่อนผมพูดไว้เลยครับ (อะไรของมันเนี่ย ปล่อย ๆ ผ่านไปเถอะครับ)
จากนั้นเราก็เดินข้ามถนนพระราม 1 เพื่อไป Paragon (ยังจะเล่นอีก) เพื่อไปกินครัวซองท์ที่ร้าน Tiong Bahru Bakery ร้านนี้มีขนมเบเกอรี่หลายอย่างครับ แต่เพื่อนมันบอกว่า Mini Croissant เป็นของขึ้นชื่อของร้านนี้ เราเลยซื้อมาลองกินกันคนละชิ้นครับ ราคาชิ้นละ 1.8 SGD รสชาติก็ไม่เลว แต่ก็ไม่ได้ว้าวอะไรมากมาย เมื่อเทียบกับราคาแล้วถือว่าแพงไปนิดครับ (แต่คนแน่นเต็มร้านเลย แทบไม่มีที่ให้เรานั่ง)
ภารกิจตะลุยกินของเรายังไม่จบ เราเดินกลับมาที่ ION Orchard ลงไปที่ชั้น B4 เพื่อไปกินของหวาน(อีกแล้ว)ที่ร้าน Mei Heong Yeun Dessert (อ่านว่าอะไร ช่วยบอกผมที) ร้านนี้เป็นร้านเก่าแก่มีอายุกว่า 50 ปี (หมายถึงสาขาแรกที่อยู่ที่ Chinatown นะครับ) ร้านนี้เคยถูกจัดอันดับว่าเป็นร้านขนมหวานขึ้นชื่ออันดับต้น ๆ แห่งหนึ่งในเอเชียด้วยครับ (อันนี้ก็เพิ่งมารู้ตอนหาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อเขียนบล็อกนี่แหละ)
เนื่องจากเรากินขนมมาพอสมควร เราเลยสั่งของหวานมากินแค่ 1 ถ้วย(ใหญ่) ร้านนี้มีหลายเมนูให้เลือกครับ ทั้งของหวานแบบร้อน หรือแบบเย็น แล้วก็มีของคาวอย่างบ๊ะจ่างด้วย แต่เราเลือกน้ำแข็งไส Chendol ครับ สนนราคา 6 SGD ลักษณะน้ำแข็งไสของร้านนี้คือคล้ายน้ำแข็งไสของไต้หวัน มีเครื่องเคียงเป็น ถั่วแดง ลอดช่อง และเฉาก๊วย พร้อมโรยลอดช่องบนน้ำแข็งพอเป็นพิธี ที่ร้านนี้ใครชอบหวานน้อยหรือหวานมากก็สามารถราดน้ำตาลมะพร้าวได้ตามใจชอบเลย แต่น้ำตาลมะพร้าวร้านนี้ไม่ค่อยหอมหวานเหมือนอยู่ที่ Rasapura หรือว่าเพื่อนหยิบขวดผิดก็ไม่รู้เพราะตรงเคาน์เตอร์ที่วางขวดมันมีน้ำราดอยู่หลายอย่างวางอยู่ด้วยกัน ตอนกินทีแรกสงสัยกันอยู่ว่าเพื่อนมันเอาน้ำจิ้มติ่มซำมาราดรึเปล่า ทำไมรสชาติแปลก ๆ
ใช้เวลานั่งกินอยู่เกือบครึ่งชั่วโมงก็ได้เวลาเดินทางไป Marina Bay Sands แต่…พอไปถึง ฝนตกซะงั้นแล้วไม่ใช่ตกธรรมดา ตกหนักมากกกก เราเลยไปหาที่นั่งรอฝนหยุดกัน เดินไปเดินมาก็ไปเจอที่นั่งอยู่ที่ล็อบบี้ของโรงแรมที่ข้างบนมีอะไรก็ไม่รู้ขยุกขยุยแขวนลงมาจากเพดาน
รออยู่นาน ฝนก็ไม่มีที่ท่าว่าจะหยุดตก เราเลยเปลี่ยนแผนไปเดินหาน้ำกินกันที่คาสิโนดีกว่า คาสิโนที่นี่มีบริเวณให้เล่นอยู่ 2 ชั้นครับ (เหมือนว่าข้างบนชั้น 3-4 จะมีพวกร้านอาหาร แล้วก็น่าจะเป็นห้อง VIP) ชั้น 1 เป็นโซนที่สามารถสูบบุหรี่ได้ และ ชั้น 2 ปลอดบุหรี่ เราเลือกที่จะเข้าจากชั้น 2 เพราะคนต่อคิวน้อยกว่า โดยก่อนเข้าเราต้องฝากสัมภาระก่อน (ที่นี่เขาห้ามถ่ายรูป เราเลยไม่ต้องแบกอุปกรณ์ถ่ายรูปเข้าไป) ซึ่งเจ้าหน้าที่จะตรวจสัมภาระค่อนข้างละเอียดก่อนที่จะฝากได้ ถ้าเป็นอุปกรณ์กล้องพวกเลนส์งี้ เขาจะให้เราเปิดฝาออกแล้วเขาจะคว่ำดูก่อนว่าไม่มีอะไรตกหล่นหรือเสียหาย เขากลัวว่าเราจะมั่วนิ่มเอาเลนส์ที่เสียหายมาฝาก แล้วกล่าวหาว่าเขาทำพังตอนที่สัมภาระอยู่กับเขา
หลังจากฝากสัมภาระเสร็จ เราก็ยื่นพาสปอร์ตให้เขาตรวจก่อนที่จะเข้าไปข้างใน (อย่าลืมเอาพาสปอร์ตออกจากกระเป๋าก่อนที่จะฝากนะครับ) แล้วเราก็เดินดูเรื่อย ๆ ว่ามีอะไรให้เล่นบ้าง และเนื่องด้วยผมเป็นคนดีไม่ค่อยรู้จักอบายมุข ผมเลยไม่ค่อยรู้ว่าอะไรคืออะไร เอาเท่าที่ผมรู้ก็จะมี…ตู้สล็อท ไพ่ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น บัคคาร่า โป๊กเกอร์ และอื่น ๆ ไฮโล รูเล็ท เป็นต้น (นี่ขนาดไม่ค่อยรู้นะ) แต่จุดมุ่งหมายที่เราเข้ามาที่นี่ไม่ใช่มาเพื่อเสี่ยงโชคแต่เป็นหาน้ำฟรีกิน เครื่องดื่มที่นี่มีหลายอย่างครับ ตั้งแต่น้ำเปล่าเย็นชื่นใจ น้ำอัดลมหลายรสชาติ น้ำหวาน น้ำผลไม้ ไปจนถึงเครื่องดื่มร้อนไม่ว่าจะเป็น ชา กาแฟ ไมโล (อยู่ที่สิงคโปร์ไม่เห็นโอวัลตินแฮะ) ก็สามารถกดกินได้รัว ๆ เลยครับ (ถ้าติดแฮชแท็ก #ชี้ช่องรวย จะโดนด่ามั้ยเนี่ย)
เมื่อเรากินน้ำกินอิ่มแล้ว เอ๊ย เดินดูชาวบ้านเขาเล่นกันพอแล้ว เราก็ออกเดินทางไป Helix Bridge กันต่อ แต่ก่อนอื่นแวะเอาสัมภาระที่เราฝากไว้ก่อนครับ เดี๋ยวไม่มีอุปกรณ์ถ่ายรูป แต่ถ้าใครขี้เกียจถือของแล้วจะย้อนกลับทางนี้อีกจะฝากของไว้ต่อก็ได้นะครับเพราะที่นี่เปิด 24 ชั่วโมง
โครงสร้างของ Helix Bridge นี้ เขาบอกว่าได้แรงบันดาลใจมาจากเกลียวของ DNA ครับ ที่พื้นของสะพานก็มีดวงเล็ก ๆ มีตัวอักษรที่เป็นคู่เบส AT และ GC อยู่ด้วยครับ (อันนี้เป็นบล็อกเกี่ยวกับการท่องเที่ยวนะครับ เราจะไม่ลงรายละเอียดเรื่องนี้กัน ถ้าใครอยากรู้รายละเอียดเกี่ยวกับคู่เบสของ DNA แนะนำให้ใช้บริการอากู๋นะครับ) โดยสะพานนี้จะใช้สำหรับข้าม Marina Bay จาก Marina Center ไป Marina South ครับ ไม่แน่ใจว่าไฟของสะพานนี่เปลี่ยนตามอะไร แต่วันที่ผมไปไฟเป็นสีแดงครับ
สะพานมีความยาวแค่ 280 เมตร (นี่ใช้ตลับเมตรวัดเองเลยนะ….จะบ้ารึ เสิร์ชหาเอาก็เจอ) แต่พวกเราใช้เวลาอยู่ที่สะพานนี้กันเป็นชั่วโมงกว่าจะเดินพ้นสะพาน ถ้าไม่ติดว่าผมปวดฉี่ คงอยู่ที่นี่นานกว่านี้ (เป็นไงล่ะ พระเจ้าลงโทษที่ไปกินน้ำฟรีที่คาสิโนเยอะ)
หลังจากพ้นสะพาน Helix เราก็เดินผ่านหลัง The Float at Marina Bay แล้วก็ผ่าน Esplanade (คิดว่าผมจะเล่นมุกถัดจาก Esplanade แล้วก็จะเจอ The Street สินะ…ผมไม่เล่นครับ ขอโทษด้วย) แล้วพอผ่าน Jubilee Bridge ก็จะเจอกับ Merlion
เราอยู่แถว ๆ Merlion กันตั้งแต่ 4 ทุ่ม จนเกือบ ๆ เที่ยงคืน แต่คนก็มาเที่ยวเรื่อย ๆ จำนวนไม่ได้ลดลงเลย
เหมือนจะลืมอะไรสักอย่าง…ใช่แล้ว เรายังไม่ได้กินข้าวเย็นกันนั่นเอง ก็ว่าทำไมหิว ๆ แต่เวลาแบบนี้จะไปหาข้าวกินกันที่ไหน จริง ๆ เปิดแอป Wongnai ดูก็ได้ครับ(ลองเปิดดูที่อื่น ก็มีร้านอาหารที่มีคนไทยรีวิวอยู่นะ) แต่เวลานั้นก็ไม่น่าจะมีร้านไหนเปิดแล้ว เราเลยเสิร์ชหาร้าน McDonald’s ที่อยู่แถว ๆ นั้นดู
จากความรู้สึก เบอร์เกอร์ของที่นี่รสชาติดีกว่าที่ไทย และวัตถุดิบก็ดูเหมือนจะดีกว่าด้วยไม่รู้เป็นเพราะหิวมากหรือแค่คิดไปเองไม่แน่ใจ
หลังจากที่เราอิ่มกันแล้ว เราก็เดินกลับที่พักของเราเป็นระยะทาง 1 กิโลเมตร และการเดินกลับที่พักของเราในครั้งนี้ทำให้พบว่า…ดึกขนาดนี้ ร้านอาหารแถว ๆ หอก็ยังเปิดอยู่และท่าทางจะปิดดึกด้วยแฮะ คนยังเต็มอยู่เลย
ก็จบไปสำหรับการผจญภัยวันที่ 2 นะครับ ครั้งหน้าเราจะไปเที่ยวไหนกันต่อ ขออุบไว้ก่อนนะครับเดี๋ยวไม่ตื่นเต้น (เอ็งเขียนไว้ใน entry ที่แล้ว จะอุบไว้ทำแป๊ะไร)
ตามการผจญภัยวันที่ 3 และ 4 ต่อได้ที่ลิงค์ที่อยู่ข้างล่างนี้เลยครับ
Comments
Pingback: [Trip] ตามล่าลอดช่องสิงคโปร์ : วันที่ 1 – JiJaKuNg
Pingback: [Trip] ตามล่าลอดช่องสิงคโปร์ : วันที่ 4 – JiJaKuNg