สวัสดีครับ กลับมาอีกแล้ว
เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้อัปอะไรที่เป็นสาระเลย อัปแต่เรื่องเที่ยว
คราวนี้ก็อัปเรื่องเที่ยวอีกแล้ว
เมื่อต้นเดือนกันยาที่ผ่านมา ผมได้ไปเที่ยว วังเวียง สปป.ลาว กับเพื่อน ๆ มาครับ
แผนที่วางไว้คือ…ออกเดินทางเช้าวันที่ 5 กันยา ไฟลท์ตี 5.55 (เลขสวยจริง)
กลับ 8 กันยา ไฟลท์ 2 ทุ่ม 25
วันที่ 5 กันยา
เรานัดกันประมาณตี 3 ครึ่ง ที่สนามบินดอนเมือง รีบไป กลัวคนจะเยอะ ไปถึงสนามบินประมาณตี 4 นิด ๆ คนยังไม่เยอะเท่าไหร่
เราก็เลยรีบไปโหลดกระเป๋า ก่อนที่ทัวร์จีนจะมา
เดินถึงเคานเตอร์ชิลล์ ๆ มองออกไปข้างนอก…โอ้โห ถ้าช้ากว่านี้นิดนึง ต่อคิวยาวแน่นอน
จากนั้นก็เดินเข้าไปหาอะไรกิน + นั่งรอที่เกท
มาถึงสนามบินอุดรประมาณ 7 โมงนิด ๆ ก็รีบเดินทางไป บขส. เพื่อไปซื้อตั๋วไปวังเวียง
โดยเราเดินทางไป บขส. ด้วยรถแท็กซี่ ค่าโดยสารคนละ 80 บาท
รถไปวังเวียงมีรอบเดียวคือรอบ 8 โมงครึ่ง ถ้าพลาดรอบนี้ ก็ต้องไปลงเวียงจันทน์ก่อน แล้วค่อยหารถต่อไปวังเวียงอีกที
หลังจากเสียเงินค่าตั๋วคนละ 325 บาท
เราก็ไปหาข้าวเช้าแถว ๆ บขส. กินกัน
ต้องกินให้อิ่ม ก่อนเดินทางไกล 200 กว่าโล แต่นาน 7 – 8 ชั่วโมง
(ถ้าเวลาเหลือ หาซื้อเสบียงไว้ก่อนก็ดีครับ เพราะของกินที่ลาวค่อนข้างแพง)
เวลาประมาณ 8 โมงครึ่ง เราก็ออกเดินทางไปวังเวียง
หลังจากรถออกสักพัก พนักงานบนรถก็เอาเอกสารมาให้กรอก
จริง ๆ เรียกว่าเป็นตั๋วก็ได้ เป็นกระดาษใบเล็ก ๆ ยาว ๆ 2 ใบให้กรอกข้อมูลสำหรับออกนอกประเทศไทย และเข้าประเทศลาว (ใช้เข้า-ออก ไทย ลาว ใบนึงของไทย ใบนึงของลาว)
เขาให้เขียนบนรถระหว่างเดินทางก่อนถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองเลย จะได้ไม่ต้องไปเสียเวลากรอกอยู่หน้าด่านอีก
ประมาณ 10 โมง ก็ถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองหนองคาย เราก็ลงรถไปยื่นเอกสารสำหรับออกนอกประเทศพร้อมพาสปอร์ต
จากนั้นก็กลับขึ้นรถเดินทางกันต่อ
เดินทางข้ามสะพานมิตรภาพไทย-ลาวพักนึง ก็มาถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองของลาว
เราก็ลงรถไปยื่นเอกสารสำหรับเข้าประเทศและพาสปอร์ต พร้อมกับซื้อบัตรเข้าประเทศลาว มูลค่า 48 บาท (เหมือนตั๋ว BTS)
เราสามารถแลกเงินได้ที่นี่ แต่ถ้าคนเยอะเกิน ก็ไปแลกที่วังเวียงได้เลย (แต่ถ้าไปวันหยุด ธนาคารไม่เปิด ก็ไปแลกตามร้านรับแลกเงิน ซึ่งเรทจะต่างจากธนาคาร หรือว่าจะใช้เงินไทยก็ได้บางร้านเขารับเงินไทย)
แนะนำว่าเข้าห้องน้ำไว้ก่อนก็ดี เพราะบนรถไม่มีห้องน้ำ และอีกนานกว่าจะจอดพัก
เดินทางมาได้สักพัก…พักใหญ่ ๆ มาก น่าจะอยู่แถว ๆ Phônhông ก็ได้จอดพักกันสักที
จุดพักก็มีของกินหลายอย่างขาย ไม่ว่าจะเป็น เฝอ, ขนมปัง Baguette, ข้าวจี่, ซาลาเปา หรือแม้แต่ของกินจากไทยหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น มาม่า, นม, ชาเขียว และอื่น ๆ อีกมากมาย
ซึ่งราคาก็ค่อนข้างจะสูงกว่าที่ไทยพอสมควร
นอกจากนั้น เข้าห้องน้ำยังต้องเสียเงินด้วย (จำไม่ได้ว่าเท่าไหร่)…ซึ่งห้องน้ำ โคตรห่วย เอาเงินที่ได้ไปปรับปรุงบ้างมั้ย
หลังจากนั้นก็เดินทางต่อไปวังเวียง
ประมาณบ่าย 3 กว่า ๆ เราก็มาถึงวังเวียง
รถทัวร์เขาจะจอดที่ท่ารถ(?)ที่อยู่ชานเมือง(?)แล้วเขาจะมีรถตู้พัดลมพาเข้าไปส่งในตัวเมืองอีกที (ดูจากถนนแล้ว รถทัวร์ไม่สามารถเข้าไปได้ ทั้งเล็ก ทั้งขรุขระ)
ถ้าใครได้จองที่พักไว้ก่อนล่วงหน้า สามารถบอกพี่คนขับรถตู้ให้ไปส่งหน้าที่พักได้เลย
แต่ถ้าใครไม่ได้จองที่พักไว้ก่อน เขาจะไปส่งหน้าที่พักแห่งนึง (จำชื่อไม่ได้)
จากนั้นเราก็เดินทางหาที่พักกัน
ระหว่างทาง เราก็หาแลกเงินกันก่อน
ที่แลกเงินสามารถหาได้ง่าย เรียกได้ว่าสามารถแลกที่ร้านขายของชำแทบทุกร้าน แต่เรทไม่ดีเท่าแลกที่ธนาคาร ก็ลองเดิน ๆ หาดูกันได้
หลังจากแลกเงินเสร็จ เราก็เดินกันต่อ ลงไปแถว ๆ ริมแม่น้ำซอง ซึ่งเพื่อนดูรีวิวที่พักมาแล้ว มันเลยว่าจะเอาที่พักบริเวณริมน้ำ
เดินมาสักพัก ก็เห็นป้ายของที่พักที่เพื่อนมันเล็งไว้ (แล้วตอนแรกบอกว่าจะมาเดินหาเอาดาบหน้า)
เดินเข้ามาในซอยเล็ก ๆ ก็เจอสะพาน ปลายสะพานมีทางแยก 2 ทาง
เราก็แยกกันไปถามราคาของแต่ละที่
สรุปว่าเราเอาที่พักที่อยู่ทางด้านซ้าย ซึ่งก็คือ “ริเวอร์วิว บังกะโล” (ข้อมูลเพิ่มเติม ผู้อ่านสามารถกูเกิ้ลหาได้นะครับ)
โดยบังกะโลนี้ จะตั้งอยู่เกาะกลางสันดอนแม่น้ำซอง ซึ่งจะมีห้องพัก 2 ฝั่งคือ ฝั่งที่หันหน้าเข้าฝั่ง กับห้องที่หันหน้าเข้าแม่น้ำซอง
เราก็อยากได้อารม์แบบเดินออกมาหน้าห้องก็ได้ซึมซับบรรยากาศขุนเขาหลังแม่น้ำซอง เลยเลือกฝั่งที่หันหน้าเข้าแม่น้ำซอง
แต่…ห้องที่อยู่ชั้นบนเต็มหมดแล้ว เหลือแค่ 2 ห้องที่อยู่ข้างล่าง (ห้องพักของที่นี่ จะเป็นหลัง ๆ หลังนึงมี 2 ห้อง ยกพื้นสูง จะมีแค่ 2 ห้องที่อยู่ติดพื้น)
พอเข้าไปในห้อง ก็สัมผัสได้ถึงความอับ เนื่องจากน้ำท่วมเมื่อตอนต้นเดือนสิงหา
แต่พอเปิดห้อง เปิดแอร์สักพักก็ดีขึ้น แต่ยังไม่หายอับ
พยายามเปิดพัดลมดูดอากาศ เปิดยังไงก็ไม่ติด เลยไปเรียกพนักงานมาดู
ปรากฏว่า พนักงานมาดูแล้วก็ไปเอาพัดลมดูดอากาศอันใหม่มาเปลี่ยนให้เลย
เปิดพัดลมดูดอากาศสักพัก กลิ่นอับก็หายไป (หรือจริง ๆ แล้วจมูกเราชิน)
รอแดดร่มลกตกประมาณ 5 โมงกว่า ๆ เราก็ออกมาหาข้าวกินกัน
เดิน ๆ สักพักก็เจอร้าน ซนะซัย (ชนะชัย) ขายอาหารตามสั่งหลากหลายแนว ลาว ไทย จีน ฝรั่ง มีหมด
อาหารมื้อแรก(อย่างเป็นทางการ)ที่ลาว…ผมเลยขอจัด……..สปาเกตตี้ คาโบนาร่า – –
รสชาติก็พอได้อยู่ แม้ว่าชีสอาจไม่เข้มข้น เส้นอาจไม่เหนียวนุ่มเท่าที่กินอยู่ไทย
ราคาก็ประมาณเกือบร้อยบาท พอ ๆ กับที่ไทย
จากนั้นก็ใช้แอป WONGNAI เสิร์ชหาของหวานกินต่อ (ที่ลาวยังใช้ WONGNAI ได้ มีคนไทยไปรีวิวร้านอาหารที่นั่นอยู่)
ก็ไปเจอร้าน โรตี(เจ้าเก่า) ซึ่งอยู่ตรงข้ามร้าน ซนะซัย
ราคาแผ่นละ 40 บาท แต่รสชาติ….โรตีแผ่นละ 10 บาท ตามรถเข็นหน้าเซเว่นบ้านเรายังอร่อยกว่าอีก
จากนั้นเราก็เดินไปหาที่จองทริป One-Day Trip กัน
เราจองทริปที่ “ริเวอร์ไซด์………(อะไรสักอย่าง จำไม่ได้ อยู่ข้างหลวงพระบางเบเกอรี่)”
ตกคนละประมาณ 600 บาท
กำหนดการคร่าว ๆ คือ เจอที่ร้าน 9 โมงเช้า ไปเที่ยวถ้ำลอด แล้วก็น้ำตก จากนั้นก็พายเรือคายัคตามแม่น้ำซอง (หรืออาจจะเปลี่ยนมานั่งห่วงยางระหว่างทาง) จากนั้นก็ไปบลูลากูน โดยมีบุฟเฟต์ให้กินเป็นมื้อเที่ยง
ถ้าจำไม่ผิดนะ
จากนั้นก็เดินกลับที่พัก อาบน้ำนอนประมาณ 4 ทุ่มกว่า…
วันที่ 6 กันยา
เวลาประมาณตี 5 ครึ่ง
ได้ยินเสียงเคาะประตู “ก๊อก ก๊อก ก๊อก”
ตื่นขึ้นมา คิดในใจ “เพื่อนมันมาปลุกไปถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้นป่ะวะ” แต่ด้วยอารมณ์ขี้เกียจลุก เลยหลับตาจะนอนต่อทำเป็นไม่สนใจ
แต่เพื่อนชื่อ “อั้ม” (นามสมมติ) ลุกขึ้นจะไปเปิดประตู
พอก้าวลงจากเตียง เสียงดัง “จ๋อม”
“เฮ้ย น้ำท่วม” อั้มตะโกน
จากกำลังง่วง ๆ ตื่นขึ้นทันที แล้วมองไปที่พื้นห้อง “เหี้ยยยยยยยยยยยยยย”
พอได้สติก็คิดขึ้นมาได้ว่า ชาร์จแบทกล้องไว้อยู่นี่หว่า เลยเอื้อมมือไปที่ปลั๊กที่หัวเตียง ดึงสายชาร์จออก แล้วยกกล้องขึ้นมาจากน้ำ (เหมือนที่นี่น้ำจะท่วมบ่อย รูปลั๊กเลยอยู่ซะสูงเชียว)
จากนั้นก็ลงจากเตียง น้ำท่วมสูงประมาณหน้าแข้ง เดินไปห้องเพื่อน (น้ำข้างนอกสูงประมาณหัวเข่า)
เคาะประตูสักพัก เพื่อนก็ออกมาเปิดประตูด้วยความตกใจ ก่อนจะกลับมาเก็บของที่ห้องต่อ
เนื่องด้วยในห้องไม่มีโต๊ะ หรือที่วางของให้วาง เลยวางสัมภาระไว้บนพื้นกันหมด
คว้าอะไรได้ ก็จับไปวางไว้บนเตียงก่อน ไม่สนใจแล้วว่าเตียงจะเปียกมั้ย ไม่มีที่วางแล้วจริง ๆ
จากนั้นพนักงานก็เดินเข้ามาในห้อง แล้วก็ยกทีวีออกไป แล้วก็เปิดประตูเข้า ๆ ออก ๆ อยู่นั่น
ไอ้เราก็อุตส่าห์เปิดหน้าต่างให้เข้าออก ก็ไม่เข้า กลัวของลอยออกไป
สักพักเขาก็ให้เราขนของ (ที่เปียกน้ำหมดแล้ว) ขึ้นไปบนชั้น 2
เราก็เอาของทุกอย่าง โดยเฉพาะกล้อง ออกมาตาก (แต่ดูจากสภาพแล้ว ไม่น่ารอด) ไว้หน้าห้อง
จากนั้นสักพัก พนักงานก็เอาอาหารเช้ามาให้เรา
เป็นแซนวิช ขนมปัง Baguette แล้วก็น้ำดื่ม
เป็นถุงยังชีพช่วยผู้ประสบภัย
เขาบอกว่าเมื่อคืนฝนตกหนักมาก แล้วน้ำป่ามาตอนตี 5 เขามาปลุกแล้ว แต่เราไม่ตื่นกัน แต่พวกเราไม่มีใครรู้เรื่องกันเลย จนเขามาปลุกอีกรอบนี่แหละ
พอเจ้าของห้องชั้น 2 เช็คเอาท์แล้ว เราก็เข้าไปยึดห้อง เอาของทุกอย่างไปตากบนเตียง เปิดพัดลมใส่
เอาเสื้อผ้าส่วนนึงที่จะใส่วันนี้ไปให้เขาซักให้ก่อน จากนั้นก็เอาที่เหลือไปให้เขาซักให้อีกรอบ
ระหว่างที่รอเสื้อผ้าแห้ง เราก็จัดการซักกระเป๋าต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น กระเป๋าเสื้อผ้า กระเป๋ากล้อง และกระเป๋าขากล้อง
ส่วนเพื่อนอีก 2 คนก็ไปจัดการยกเลิก One-day Trip ที่จองไว้ พร้อมกับไปแจ้งความกับตำรวจไว้เพื่อลงบันทึกว่าเราโดนประสบภัย พาสปอร์ทเสียหาย
เรื่องยกเลิกทริป สรุปว่า เราไปยกเลิกทริปช้าไป เลยได้เงินคืนแค่ครึ่งเดียว แต่ได้ข้าวกล่องกลับมา
ก็ยังดี
เรื่องแจ้งความ…ตำรวจก็มาดูสถานที่เกิดเหตุ เจ้าของที่พักก็อยู่ด้วยเลยลองถามดูว่ามีค่าชดเชยอะไรให้มั้ย
สรุปว่าเขาจะคืนเงินค่าที่พักทั้งหมด ที่นอนไปเมื่อคืนก็ไม่คิด แต่ไม่สามารถชดเชยค่าเสียหายอะไรได้ เพราะมันเป็นอุบัติเหตุ เขาก็ไม่รู้เหมือนกัน แล้วก็ยืนยันว่ามาปลุกเราแล้ว แต่เราไม่ตื่นกันเอง – –
สรุปความเสียหายคร่าว ๆ ตอนนั้น
กล้อง
- SONY NEX-5R
- FUJI X-E1
- FUJI X-T1
- OLYMPUS OM-D E-M5
- กล้องคอมแพคท์กิ๊กก๊อก
เลนส์
- SONY SELP1650, SEL50F1.8, SEL55210
- FUJI 18-55
- FUJI 18-135, 27 F2.8
- OLYMPUS KIT 12-40
โทรศัพท์
- iPhone 5
- Samsung Duos
- Samsung Hero
และอื่น ๆ อีกมากมาย
ระหว่างรอน้ำแห้ง + ของแห้ง เราก็นั่งดูทีวี…ดูทีวีช่องไทยนี่แหละ ช่องลาวไม่ค่อยชัด
เอาจริง ๆ อยู่ลาว แทบทุกบ้านเขาดูทีวีช่องไทยกัน หาได้น้อยมากที่จะดูช่องของลาว
ไปไหนก็เห็นเขาเปิดช่องไทยกันหมด
ประมาณบ่ายโมงกว่า เราก็เก็บของออกจากที่พัก ไปหารถเข้าเวียงจันทน์
กว่าจะเก็บเสร็จก็ประมาณบ่าย 2 นิด ๆ
เดินออกมาจากซอย ก็เห็นร้านขายปี้รถตู้ (ปี้ ภาษาลาว แปลว่าตั๋ว) ก็เลยไปสอบถาม
ได้ความว่า มีรอบบ่าย 3 กับ บ่าย 4
รอบบ่าย 3 คนยังไม่ครบ แต่รอบบ่าย 4 คนครบพอดีถึงเวลาพร้อมออกเลย
แต่เรารีบกลับ เลยเลือกรอบบ่าย 3
ระหว่างรอ ก็เดินไปหาอะไรกินรองท้องกันก่อน เพราะต้องเดินทางอีกประมาณ 3 ชั่วโมง (คนขายตั๋วบอก)
เดินไปร้านของชำแถวนั้น (เรียกว่าร้านสะดวกซื้อก็ได้ล่ะมั้ง ปล.ลาวไม่มีเซเว่นนะครับ) เดิน ๆ ดู…มีแต่ของไทย รอกลับไปกินที่ไทยก็ได้ฟระ เห็นราคาแล้วซื้อไม่ลงจริง ๆ
ซื้อเสร็จ กลับมารอรถที่หน้าร้านขายตั๋ว นั่งดูเขาดูมวยช่อง 7 กัน จนบ่าย 3 รถตู้ก็มา
ในรถมีฝรั่งนั่งอยู่ก่อนแล้ว 2 คน
จากนั้น รถก็วนออกไปนอกเมือง (แถว ๆ ที่เราลงรถทัวร์ตอนแรก) ไปรับคน
รอสักพัก…ไม่มีคนมาเว้ย ระหว่างนั้นคนขับก็รับโทรศัพท์อยู่หลายสาย
จากนั้นก็วนกลับเข้าไปในเมืองใหม่ เพื่อไปรอรับคนที่รีสอร์ทแห่งหนึ่ง
ก็จอดรออยู่หน้าซอยสักพัก ขณะกำลังจะเข้าซอยรีสอร์ท ฝรั่งก็โวยวายว่า “เข้ามาทำไมอีก นี่ขึ้นรถรอบบ่าย 3 นะ ทำไมยังไม่ไปอีก เดี๋ยวไปขึ้นเครื่องบินไม่ทัน ถ้ายังไม่ไปจะลง”
จนแล้วจนรอด ฝรั่งรอไม่ไหว เลยลงรถไป ไม่ได้เงินคืนด้วย
จากนั้นก็เข้าไปในซอย ก็รอสักพัก…แต่เขายังไม่กลับมาจากเที่ยว – –
เลยวนออกไปนอกเมืองอีกรอบ (รอบ 2)
ไปรับผู้หญิงคนนึงที่คิวรถตู้…แล้วก็วนเข้าไปในเมืองอีกรอบ
ไปแวะรีสอร์ทแห่งนึงให้ผู้หญิงคนนั้นแวะเอาของ แล้วก็ไปแวะรับคนที่รีสอร์ทที่ไปรอบที่แล้วไม่แล้ว
แต่รอบนี้เขากลับมาเที่ยวแล้ว
กว่าจะได้ออกจริง ๆ ก็เกือบ 4 โมง
แล้วนี่จะขึ้นรอบ 3 โมงทำไมเนี่ยยยยยยยย
ระหว่างเดินทาง ก็รับคนขึ้นรถเรื่อย ๆ จนเต็ม เดินทางมาสักพักก็ถึงจุดพัก (อยู่ตรงไหนไม่รู้ แต่รู้ว่ายังไม่ถึงจุดพักที่แวะตอนขามา ไม่ได้เปิด Google Maps ดู ประหยัดแบทไว้ เดี๋ยวแบทหมด เนื่องจากพาวเวอร์แบงค์จมน้ำไปแล้ว)
จุดพักนี้ดีกว่าจุดที่แวะพักตอนขามาหน่อย ตรงห้องน้ำเข้าฟรี ไม่เสียเงินนี่แหละ
จากที่สังเกตระหว่างทาง…บ้านเรือนที่นี่ แทบไม่ต่างจากชนบทที่ไทยเลย
ถ้าไม่มีป้ายภาษาลาว ก็คงจะคิดว่าอยู่ประเทศไทย
แต่พวกธรรมชาตินี่ยังอุดมสมบูรณ์อยู่ ดีกว่าที่ไทยเยอะ
แต่ถนนหนทางนี่ยังต้องพัฒนาอีกเยอะ ยิ่งรถตู้เพดานต่ำ ๆ ตกหลุมทีหัวแทบโขกเพดาน
แต่ไม่เป็นไร ผมตัวเตี้ย หัวไม่โขก
เกือบ 2 ทุ่ม เราก็มาถึงคิวรถของเวียงจันทน์ (ใช้เวลา 3 ชั่วโมงจริง ๆ แต่เป็น 3 ชั่วโมง 50 กว่านาที)
จากนี้ต้องไปต่อรถสองแถวเข้าเมือง
เราก็ให้รถสองแถวไปส่งแถว ๆ สถานกงศุลไทย ตื่นเช้ามาจะได้ไปทำเรื่องพาสปอร์ทเสียหายเลย
(ได้รับคำปรึกษามาจากพ่อเพื่อน พ่อมันบอกให้ไปติดต่อสถานกงศุล)
ค่ารถ คนละ 80 บาท…เดินทางไกลมากกกกกก กว่าจะถึง โรงแรมแถว ๆ สถานกงศุลฯ
(แท็กซี่จากสนามบินอุดร ไปบขส.อุดรก็คนละ 80 แต่ไม่ไกลขนาดนี้)
ถึงโรงแรมดวงประเสริฐ ประมาณ 2 ทุ่มครึ่ง หลังจากเก็บของเสร็จ ก็ออกไปหาของกินแถวนั้น แล้วก็เอาเสื้อผ้ามาด้วยคนละ 2 ชุด ไว้ใส่นอนคืนนี้ กับพรุ่งนี้เช้าเอาไปอบแห้งด้วย เนื่องจากตอนเช้ายังตากไม่แห้งดีเท่าไหร่
ไปสำรวจเวลาเปิดทำการของสถานกงศุล จากนั้นเดิน ๆ ดูแถวนั้น ไม่เจอร้านซักรีด แต่เจอร้านพิซซ่า คอมปะนี (เล็งไว้ตั้งแต่ตอนนั่งสองแถวมาแล้ว)
ไปดูราคา…ถาดกลาง แสนกว่ากีบ ตีเป็นเงินไทยประมาณ 600 กว่าบาท…กินไม่ลงจริง ๆ
ดูร้านอาหารเกาหลีหน้าโรงแรม ราคาน่าจะแพง เลยตัดสินใจเดินกลับโรงแรม ว่าจะกินมาม่ากัน
แต่มีพี่สามล้อขับมา ถามว่าจะไปไหน เลยถามหาร้านซักรีด แล้วก็ร้านอาหาร
เขาก็แนะนำว่ามีร้านที่รู้จักอยู่ จะพาไป แล้วจะพาไปกินข้าวด้วย
คนละเท่าไหร่ จำไม่ได้ แต่ไม่แพงเท่าไหร่
พี่แกก็พาไปอบแห้งผ้าก่อน จากนั้นก็พาไปส่งแถว ๆ ริมโขง แหล่งรวมร้านอาหารสำหรับนักท่องเที่ยว
เดินดูสักพัก เราก็เลือกร้าน Sugarland
เป็นร้านอาหารตามสั่งทั่วไป มีอาหารหลากหลายสัญชาติ ไม่ว่าจะเป็น ไทย ลาว จีน ฝรั่ง นอกจากนี้ยังมีของหวาน เค้ก ไอติมสารพัด
คราวนี้ผมเลือกกิน…ข้าวผัดหมู (มาลาวแต่ไม่กินอาหารลาว)
กินเสร็จ เก็บเงิน ก่อนเดินออกจากร้าน เจ้าของร้านขอถ่ายรูปกับกลุ่มเราด้วย บอกว่าจะเอาไปลงเพจเฟสบุ๊คของร้าน (แต่ผมลองเข้าไปดูแล้ว…ไม่เห็นจะเอาลงแฮะ ดีแล้ว เขิน)
จากนั้นพี่สามล้อก็พากลับไปเอาเสื้อผ้าที่อบไว้ ระหว่างทางผ่านอะไร พี่แกก็ชี้ให้ดู พร้อมอธิบายให้ฟังคร่าว ๆ แล้วก็พาไปดูเกรด A ที่โรงแรมละอองดาว
แต่เรารีบกลับไปนอน เลยบอกไม่ได้ลงไปดู แต่เท่าที่เห็นจากที่นั่งกันอยู่ข้างหน้า ก็โอเคอยู่นะ
(หรือเพราะว่ามันมืด เลยมองไม่ค่อยชัด ไม่รู้วววววว ผมอินโนเซนต์ ไม่เจนเรื่องอะไรแบบนี้)
จากนั้นกลับมาถึงที่พักก็นั่งคุยกันสักพัก ก่อนแยกย้ายกันไปนอน
เอ้อ…ตั้งแต่มาที่ลาว WI-FI โรงแรมนี่เร็วสุดแล้ว ใครบ่นว่า 3G เมืองไทยกากงั้นงี้ WI-FI ที่ลาวยังช้ากว่าอีก
(จริง ๆ เพื่อนซื้อซิมของลาวมาใช้ แต่มือถือมันจมน้ำ แล้วมันใช้นาโนซิมอยู่คนเดียว คนอื่นใช่ไมโครซิมกันหมด เลยใช้ด้วยไม่ได้ แต่เท่าที่มันลองใช้ดู มันบอกว่าช้ามาก สัญญาณไม่ค่อยมีด้วย)
วันที่ 7 กันยา
วันนี้เรานัดกันกินข้าวเช้าที่โรงแรม 7 โมง
ก็เป็นบุฟเฟต์อาหารเช้าธรรมดาทั่ว ๆ ไป
แต่บรรดาแขกของโรงแรม มีแต่คนเกาหลี ทั้งสาว ๆ ไปจนถึงอาจุมม่าเลยก็มี
หลังจากกินเสร็จ ก็กลับขึ้นไปอาบน้ำ เก็บของ
ประมาณ 8 โมงกว่า ๆ เกือบ 9 โมง
เราก็เดินไปสถานกงศุลฯ
เดินไปถึง ถามพนักงานข้างหน้า เขาก็ชี้ให้เข้าไปข้างในทางประตูหน้าเลย
ไปถึงเคาน์เตอร์ คุยกับเจ้าหน้าที่ เขาก็บอกว่า ยังไม่ต้องทำใหม่ ใช้อันเดิมกลับได้เลย เพราะที่ด่านเขาใช้ไอ้ตรงที่เป็นพลาสติกรูดได้อยู่ แต่กลับไปให้ทำพาสปอร์ทใหม่
พร้อมแจกหนังสือคู่มือท่องเที่ยว “ไขประตูสู่ลาว” คนละเล่ม
เท่า ๆ ที่เปิดดู มีประโยชน์มาก สำหรับคนที่จะไปเที่ยวลาว
จากนั้นเราก็โบกสามล้อให้ไปส่งท่ารถ
มีรถไปอุดรรอบใกล้สุด 10 โมงครึ่ง ราคา 96 บาท
ซื้อตั๋วเสร็จ เหลือเวลาพอสมควร เลยไปเดินดูบรรดาร้านขายของฝั่งตรงข้ามท่ารถ
ก็มีของขายหลากหลาย แต่ตอนนั้นหิวน้ำ แล้วเจอร้านกาแฟ เลยสั่งชาเย็น
เห็นตอนทำนี่ ผมอึ้งเลย
เทนมข้นไปครึ่งแก้ว
เราก็คุยกัน เฮ้ย อันนี้มันนมลาวเปล่า อาจไม่หวานเท่าของไทย
แต่พอดูกระป๋องที่เขาวางไว้ อ้าวเฮ้ย ของไทยนี่หว่า
จากนั้นก็ใส่ชา แล้วก็ใส่ถุงน้ำแข็งถุงใหญ่ ๆ แล้วก็ใส่ลงถุงกระดาษ แล้วใส่ลงถุงพลาสติกมีหูหิ้วอีกที
เป็นเหมือนกาแฟถุงกระดาษบ้านเรา
รับถุงมา จ่ายเงินไป 40 บาท
ลองดูดชิม…อื้อหือ…หวานมากกกกกกกกกกกกกกกก ดูดได้ทีละนิด ต้องรอมันละลาย ถึงจะกินได้
เลย 10 โมงครึ่งนิด ๆ รถก็มาถึงที่ชานชาลา เราก็ขึ้นรถกัน เป็นรถของ บขส.ไทยนี่แหละ
ขากลับเขาก็แจกเอกสารสำหรับกรอกเข้าออกประเทศเหมือนเดิม
แต่เรามีอยู่แล้ว ไม่ต้องเอามาเขียนใหม่
เดินทางสักพัก น้ำแข็งละลายไปนิดนึงก็ถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองของฝั่งลาว เราก็ไปยื่นเอกสารพร้อมกับพาสปอร์ทเปียกน้ำของเรา
ตาปั๊มของบางคนก็เลือนไปแล้ว แต่ก็ยังพอเห็นอยู่
เจ้าหน้าที่ก็บอกให้คนที่พาสปอร์ทเสียหายเดินตามเขาไป
ก็เข้าไปในออฟฟิศของเขา แล้วก็ถาม ๆ อะไรกันนิดหน่อย แล้วก็ให้กลับไปปั๊มออกนอกประเทศ
ขาออกต้องซื้อบัตรออกนอกประเทศ (แบบเดียวกับที่ใช้ตอนเข้าประเทศ) แต่ขาออกไม่ต้องจ่ายเงิน เอาพาสปอร์ทไปยื่น เขาก็จะเอาบัตรให้เลย
พอข้ามสะพานมิตรภาพ ก็เจอด่านตรวจคนเข้าเมืองของไทย
ที่ด่านนี้ต้องเอาสัมภาระลงไปให้เขาแสกนทุกอย่าง
จากนั้นก็เดินทางต่อ ถึงบขส.อุดรประมาณเกือบบ่ายโมง
ชาเย็นกินได้พอดี ไม่หวานเกินไปแล้ว
จากนั้นเราเดินไปที่เซ็นทรัลอุดร (ไปเที่ยวไหน แวะเซ็นทรัลมันทุกที่ ถ้ามี)
อาหารมื้อแรกที่กินหลังกลับมาที่ไทยคือ…. KFC
ตอนแรกว่าจะพาเพื่อนไปกิน VT แหนมเนือง แต่เพื่อน ๆ อยากรีบกลับกัน เลยไม่ได้ไป
ระหว่างรอเวลาไปขึ้นเครื่องบินกลับเมืองหลวงไฟลท์ 4 โมงกว่า ๆ ก็แยกย้ายไปตามร้านกล้อง ร้านโทรศัพท์ ไปให้เขาดูโทรศัพท์ที่จมน้ำ หรือดูกล้องใหม่ว่าจะซื้อตัวไหนดี หรือไม่ก็ซื้อโทรศัพท์ใหม่กัน (ลืมบอกไปว่าเราจองตั๋วเครื่องบินขากลับตอนอยู่บนรถทัวร์ระหว่างเดินทางจากหนองคายมาอุดร โชคดีที่มีโปรฯของ Lion Air เลยทำให้เราจองบ่ายกลับเย็นได้ในราคาที่ถูก)
บ่าย 3 กว่า ๆ ก็เดินทางไปสนามบินอุดร ด้วยรถสามล้อเล็ก คันนึงนั่งได้แค่ 2-3 คน
เราแยกนั่ง 2 คัน ตกคนละ 50 บาท
ถึงสนามบินไม่ทันไร ฝนก็กระหน่ำตกลงมาอย่างหนัก ถ้ามาช้ากว่านี้นิดนึงอาจเปียกได้
หลังจากโหลดกระเป๋าเสร็จก็เดินไปนั่งรอที่เกท
ถึงดอนเมือง 5 โมงนิด ๆ แล้วก็แยกย้ายกันกลับหอของใครของมัน
(แต่กลับมาเวลานี้ รถติดโคตร ๆ กว่าจะถึงหอ)
วันที่ 8 กันยา
วันนี้เรายังคงลางานกันอยู่ ต่างคนต่างไปศูนย์กล้องของใครของมัน
สรุปว่า…
– FUJI X-T1, X-E1ไม่รอดสักตัว
– SONY NEX-5R ก็ไม่รอด แต่สามารถเอากล้องเก่าไปแลกซื้อกล้องใหม่ได้ ลดได้หลายพันอยู่ แต่ได้เฉพาะกล้อง เลนส์เอาไปทิ้งได้เลย
– Olympus OM-D E-M5 รอด เพราะตอนนั้นกระเป๋ามันลอย เปียกนิดเดียว แถมมันเป็น Weather Shield เลยช่วยได้หน่อย
ใครคิดว่าไปเที่ยววังเวียงใช้เงินนิดเดียว….มาดูนี่ ค่าเสียหายรวม ๆ เป็นแสนเลยครับ 5555+
ปล. ใครจะไปเที่ยวไหนแล้วพักที่พักริมน้ำ ดูดี ๆ ก่อนนะครับ ต่อไปนี้พวกผมไปเที่ยวกันก็คงไม่พักริมน้ำกันแล้ว แล้วก็ไม่พักชั้น 1 แล้วด้วย เฟียร์
ปล.2 ค่าครองชีพที่ลาวค่อนข้างสูง เตรียมเงินไปเยอะ ๆ หน่อยก็ดีครับ ถ้าเงินไม่พอ ไม่มี ATM ให้กดเงินเหมือนอยู่ที่ไทยนะครับ
ปล.3 เที่ยวไทยคุ้มกว่าครับ คอนเฟิร์ม