ก็มาถึง Entry สุดท้ายของ Trip นี้ซะที
เริ่มที่วันนี้ (2 ธ.ค.) ตื่นนอนตั้งแต่ตี 5 เพื่อไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ภูทอก
โดยเราได้เหมารถพาเที่ยว 2 คัน
สำหรับการเหมารถเที่ยวที่เชียงคานนี้ สามารถติดต่อกับโรงแรมที่พักได้ ราคาเดียวกันหมดทุกที่คือ คนละ 100 บาท
คือผู้ให้บริการรถพาเที่ยวแถวนี้เขาตกลงกันให้คิดราคานี้ ไม่มีต่ำกว่า หรือสูงกว่านี้
ถ้าเป็นรถกระบะ ราคานี้ เขาจะพาไป 3 ที่คือ ภูทอก วัดพระพุทธบาทภูควายเงิน แล้วก็แก่งคุดคู้
แต่ถ้าเป็นรถสามล้อ ราคานี้พาไปแค่ภูทอกที่เดียว (รถที่เราติดต่อไปเขาว่างั้น)
พอตี 5 ครึ่ง รถเขาก็มาจอดรออยู่หน้าที่พัก
ฟ้ายังมืดอยู่เลย อากาศหนาวเบา ๆ ไม่สู้อยู่บนภูหลวง
มาถึงตีนภูทอก ฟ้าเริ่มสว่างขึ้น
การจะขึ้นภูทอก เราไม่สามารถเอารถขึ้นไปเองได้ จะต้องขึ้นรถที่ให้บริการตรงนั้น ซึ่งเป็นของชาวบ้านแถวนั้นนั่นแหละ
ค่าขึ้นภูทอก คนละ 25 บาท (เราไม่ต้องจ่ายเพิ่ม รถที่เราจ้างมาเขาจ่ายให้ เพราะเราไม่ได้ไปวัดภูควายเงิน แต่ถ้าเราไป เราต้องจ่ายค่าขึ้นเอง)
ขึ้นไปถึงบนยอดภูทอก ก็มีนักท่องเที่ยวมาก่อนบ้างแล้ว
บนภูทอก ด้านนึงดูทะเลหมอก อีกด้านดูพระอาทิตย์ขึ้น
ก็เดินวน ๆ แถวนั้นกับ วี และ ก้อง 2 รอบได้กว่าพระอาทิตย์จะขึ้น (มันแคบ ๆ เอง เดินไม่เท่าไรก็ครบรอบแล้ว)
กว่าพระอาทิตย์จะขึ้น ก็มีนักท่องเที่ยวขึ้นมาเต็มเลย
การลงจากภูทอก ก็ขึ้นรถที่เขาขึ้นมาส่งนักท่องเที่ยวลงไป
ขึ้นคันไหนก็ได้
ขาลงผมได้นั่งรถสองแถวลง เลยไปก็ท้ายรถสัมผัสลมเย็น ๆ ยามเช้า และโหนรถถ่ายวิวระหว่างทาง
เสียวมือถือหลุดมือมาก ๆ
พอลงมาตีนภูทอกแล้ว เราก็ไปต่อกันที่แก่งคุดคู้
เรามาถึงกันเช้าเกิน ร้านค้าต่าง ๆ แถวนั้นยังไม่ค่อยเปิดกัน
แล้วก็ไม่ใช่ฤดูแล้ง ทำให้ไม่เห็นเกาะแก่งกลางน้ำโขง
แก่งคุดคู้ ถือว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของเชียงคานเลยก็ว่าได้
แต่ก่อนผมมาเที่ยวเชียงคาน ก็มาแต่แก่งคุดคู้ ไม่เคยไปเดินถนนริมโขงเลย จนมันมาดังถึงได้ไปเดิน
ขากลับ คนขับรถพาแวะซื้อของฝาก
ของฝากจากเชียงคานที่ขึ้นชื่อจริง ๆ ก็คือ มะพร้าวแก้ว
มีทั้งแบบแห้ง ๆ กับแบบนุ่ม
แบบนุ่มอร่อยมาก ๆ แต่เก็บไว้ได้ไม่นาน ไม่เหมือนแบบแห้งที่เก็บได้นานโคตร
เพื่อน ๆ ก็ซื้อกลับไปฝากคนละถุง 2 ถุง
กลับมาถึงที่พัก ก็กินอาหารเช้ากัน โดยโรงแรมนี้จะให้กินได้ 2 ร้านคือร้านสเต็กที่อยู่ข้าง ๆ กับ ร้านเกาเหลาตรงข้ามโรงแรม
หลังจากกินข้าวกันเสร็จก็อาบน้ำ แล้วก็ไปเดินเที่ยวกันอีกรอบ รอเวลาเช็คเอาท์ 11 โมง
คราวนี้ก็มาเก็บจุดบังคับที่เมื่อคืนยังไม่ได้ถ่ายรูป
บรรยากาศเชียงคานตอนเช้า ๆ ก็ดีเหมือนกัน
แต่ร้านค้าต่าง ๆ ยังไม่ค่อยเปิด ส่วนใหญ่จะเปิดขายตอนเย็น มีบางร้านที่เปิดแล้ว
บรรยากาศต่างจากตอนกลางคืนจริง ๆ
ประตูร้านที่ยังไม่เปิด ก็เหมาะกับถ่ายรูปเช่นกัน
เดินเล่น+ ซื้อเสื้อสักพักก็กลับไปเช็คเอาท์ที่โรงแรม
จากนั้นก็เดินขึ้นไปถนน รอรถสองแถวเข้าเมือง
รอสักพัก รถไม่มาซะที เลยไปคุยกับร้านค้าแถวนั้น ถามหาที่จอดรถสองแถว จะไปเหมารถมา แต่เขาบอกว่ารถผ่านมาบ่อยอยู่ ไม่นานเดี๋ยวก็มา
ก็เลยรอต่อประมาณ 5 นาที ยังไม่มาซะที เลยโบกสามล้อไปที่ที่จอดรถสองแถวกับบาส
ค่ารถสามล้อ 20 บาทเอง
ไปถึง ถามรถที่จอดรอผู้โดยสารอยู่ได้ความว่าอีกครึ่งชั่วโมงจะออก โน้วววว
พี่สามล้อก็เลยพาไปถามเจ้าของรถอีกคันที่จอดรออยู่
ตอนแรกลุงบอกเหมา 650 บาท
ตกคนละ 34 บาทกว่า จากปกติก็คนละ 35 บาท
เลยขอต่อลุง ด้วยภาษาเลย พูดไม่เป็น แต่ก็ต้องพูด เพื่อให้ลุงลดให้
ลุงเลยลดให้เหลือ 600 บาท ขอบคุณลุงมาก ๆ ขอบคุณพี่สามล้อด้วย ที่พามาคุยกับลุง
ก็นั่งรถไปรับเพื่อน ๆ ที่รออยู่ปากซอย 9
ระหว่างที่นั่งรถ ก็มีคนโบกรถเยอะพอสมควร แต่ลุงก็ไม่จอดรับ เพราะเราเหมามาเลย
ลุงก็ขับเอื่อย ๆ เรื่อย ๆ มา
อากาศดี ๆ ลมเย็น ๆ นั่งดูข้างทางชิลล์ ๆ
นั่งไปก็นึกถึงตอนเรียน รด. ไป
เพราะตอนเรียน รด. ก็นั่งรถแบบนี้ แล้วก็ใช้เส้นทางนี้ มาเรียน
พอถึงแถวค่ายทหาร ก็ชี้ให้เพื่อนดูภูเขา 2-3 ลูก ที่ได้เดินอ้อมตอนภาคสนามปี 2
เดินไปได้ยังไงหว่า ตั้งแต่เช้า ถึงเย็น
มาถึง บขส. เลย ก็โทรให้พ่อมารับ
แล้วก็ส่งเพื่อน ๆ กินข้าวที่ปั๊ม ปตท. นาอาน ส่วนผมกับหมอ เม่น ก็เอาของไปเก็บที่บ้าน
เก็บของเสร็จก็กลับมารับเพื่อน ๆ ไปเที่ยวต่อ
ที่ที่จะไปเที่ยวต่อไปก็คือ สวนหินผางาม หรือ คุนหมิงเมืองไทย อยู่ อำเภอหนองหิน
การนั่งรถกระบะคราวนี้สบายขึ้นหน่อย เพราะไม่มีสัมภาระอยู่ เลยนั่งกันง่ายขึ้น
แต่ตอนขึ้นเขา ก็เล่นเอาเครื่องร้อนจนสัมผัสได้กันเลยทีเดียว
มาถึงก็จ่ายค่าเข้าชมคนละ 10 บาท แล้วก็ค่ารถคนละ 15 บาท
โดยรถที่เรานั่งก็คือ…
นั่งสักพักก็ถึงจุดจอดรถ
จากนั้นไกด์ก็พาเดินขึ้นไปข้างบน
เดินมาก็เยอะ ไม่เคยปวดขา แต่มาเดินขึ้นที่นี่ไม่เท่าไร ก็ปวดขาซะแล้ว
แถมไกด์ยังกวนตีนอีก
ไกด์ : รู้มั้ยครับ ว่านี่คือหินอะไร
ทุกคน : … ไม่รู้ครับ
ไกด์ : หินข้างทาง
ทุกคน : !?!
พอขึ้นถึงจุดชมวิว ก็ถ่ายรูปกัน
ถ่ายรูปกันหนำใจแล้ว ก็เดินลงจากจุดชมวิว กะว่าจะไปต่อ
แต่ไกด์เพิ่งมาบอกว่า จะมืดแล้ว ไปต่อไม่ได้ = =
แล้วทำไมไม่รีบบอกก่อนลงมาล่ะคร้าบบบบบ
จำเป็นจะต้องกลับ
ก็นั่งรถอีแต๋นกลับทางเดิมที่มา
กลับมาถึงก็ถ่ายรูปป้ายข้างหน้ากันซะหน่อย
(มันยังไม่เอารูปลง = =)
จากนั้น พ่อก็พาไปเที่ยวน้ำตกเพียงดิน ที่อยู่ด้านหลังต่อ
เป็นน้ำตกเล็ก ๆ ไม่ใหญ่มาก
เดินลงไปไม่เท่าไรก็หมดแล้ว
วันนี้ไม่มีคนเลย มีแต่พวกเรามาเที่ยว
5 โมงเย็นแล้ว เราก็รีบกลับกัน
เนื่องจากลืมเอาเสื้อกันหนาวกันมา ตอนกลับมืดแล้ว อากาศเลยค่อนข้างหนาว
แต่ก็นั่งเบียดกันคงจะอุ่นขึ้น
มีคนบอกว่า คราวนี้ เป็นการนั่งที่ลงตัวที่สุด เพิ่งค้นพบว่าลงตัวตอนนั่งครั้งสุดท้ายนี่แหละ
มาถึงเมืองเลย ก็ไปแวะเอาปอเปี๊ยทอดที่บ้านเพื่อนพ่อแม่ ที่ไปสั่งทำไว้ 50 อัน
แล้วก็แวะซื้อมันหมูที่ตลาดเย็น
กลับมาถึงบ้าน ก็มีปาร์ตี้หมูกระทะ + ปอเปี๊ยะทอดกัน
แต่แต่ละคนก็ต้องรีบกินกันเดี๋ยวไม่มีเวลาอาบน้ำก่อนขึ้นรถทัวร์กลับกรุงเทพรอบ 21.10
กว่าทุกคนจะเรียบร้อยก็ 3 ทุ่มพอดี ก็รีบเอาของขึ้นรถ
แล้วก็ไปส่งเพื่อน ๆ ที่ บขส. คาดว่าเลทนิดหน่อย แต่ไม่เกิน 5 นาที
ทุก ๆ คนบนรถกำลังรอพวกเรา
ไม่รอได้ไง ตั้ง 17 ที่นั่ง เกินครึ่งรถเลยนะนั่น
ก็เป็นอันจบ…สำหรับทริป เลยไปเลย ในคราวนี้
สุดท้าย….
ขอบคุณ…บาส หนุกดี หัวหน้าผู้ก่อตั้งทริป “เลยไปเลย” ในครั้งนี้
ขอบคุณ…เพื่อน ๆ ร่วมทริปอีก 17 คน แจ็ค เม่น ปรินซ์ หมอ อาร์ท ก้อง วี อั้ม เบนซ์ บุ๋ม เจ๊บี เดียร์ ออม เจ็ง ปอ ซันนี่ มด ที่มาร่วมสร้างประสบการณ์สนุก ๆ คราวนี้
ขอบคุณ…เจ้าหน้าที่ภูหลวง ที่ให้เราโหวดเหวกโวยวายบนภู
ขอบคุณ…คนขับรถรับจ้างที่ภูเรือ ที่พาเราซิ่งไปนู่นมานี่ โดยเราไม่ได้บาดเจ็บ
ขอบคุณ…ลุงต้อย เจ้าของภูเรือรีสอร์ท ที่ลดค่าที่พักให้เรา
ขอบคุณ…โรงแรมพูลสวัสดิ์ ที่ยอมให้เราเข้าพักได้เกิน
และสุดท้าย ขอบคุณ…พ่อ และแม่ ที่ดูแลเพื่อน ๆ เป็นอย่างดี
หวังว่าเราคงมีโอกาสได้ไปเที่ยวด้วยกันแบบนี้อีก…
สวัสดี
ปล.ขอบคุณเพื่อน ๆ เจ้าของภาพด้วยนะคร้าบ…