[Trip] เลยไปเลย : โหด มันส์ ฮา (วันที่ 1 : เมืองเลย ภูหลวง)

กลับมาแล้วววว หลังจากหายไปนาน น้าน นาน

ไม่ค่อยมีเรื่องอะไรให้อัพเดทเท่าไร

หนีน้ำกลับบ้านซะนานเลย

กลับบ้านมาตั้งแต่วันที่ 19 ตุลาคม

ตอนแรกเปิดเทอม 31 ตุลาคม แต่ก็ต้องเลื่อนเป็น 14 พฤศจิกายน

จนจะวันที่ 14 แล้วน้ำก็ยังไม่ลด สุดท้ายเลยเลื่อนเปิดเทอมเป็นวันที่ 19 ตุลาคม

นั่งแหง่วอยู่บ้าน งานการไม่ทำ

ใจจริงอยากทำโปรเจคนะ แต่ไม่ค่อยมีอารมณ์จะทำเท่าไร บรรยากาศที่บ้านไม่เป็นใจกับการทำงาน เหมาะกับการพักผ่อนมากกว่า

จนต้องหนีไปนั่งทำโปรเจคที่โรงเรียน (ที่บ้านไม่มีเน็ทไว้ใช้ค้นหาข้อมูลด้วยแหละ)

พอมาเลื่อนเปิดเทอมครั้งที่ 2 มันต้องอยู่บ้านอีกเป็นเดือน เลยให้แม่ติดเน็ทให้ ไม่ต้องไปนั่งทำงานที่โรงเรียน

วันนึง ขณะนั่งทำงานอยู่ที่บ้าน บาส ก็ทวีต

และจากทวีตนี้

ผมก็เลยทวีตกลับไป

บาสก็เลยตัดสินใจจะจัดทริปมาเที่ยวที่เมืองเลย

ก็ตั้งกรุ๊ป “เบื่อ เลยไปเลย” ในเฟซบุ๊ค และชวนเพื่อนเข้ามา เพื่อโหวตกันว่าจะไปเที่ยวกันกี่วัน แล้วไปวันไหนดี และคอยแจ้งข่าวคราวแก่ชาวทริป

ก็สรุปได้ว่าจะเที่ยวกันวันที่ 29 พ.ย. – 2 ธ.ค.

ระหว่างรวบรวมสมาชิก ก็มีการร่างกำหนดการคร่าว ๆ เที่ยวนู่นเที่ยวนี่กัน

ชวนกันไปกันมา 3 วัน (23 – 26) สรุปว่ามีสมาชิกร่วมทริปทั้งหมด 19 คน ชาย 12 หญิง 7

เยอะมาก ๆ

เพื่อน ๆ นั่งรถจากกรุงเทพ คืนวันที่ 28 ตุลาคม รอบ 22.35

มาถึงเมืองเลยประมาณ 8 โมงนิด ๆ วันที่ 29 ตุลาคม

ก็พาเพื่อน ๆ มาแปรงฟัน ล้างหน้า อาบน้ำ ก่อนที่บ้าน

รอเพื่อน ๆ อาบน้ำ

กว่าจะเสร็จก็ประมาณ 10 โมงกว่า ๆ ได้ก็พาเพื่อน ๆ ออกไปกินอาหารเช้าที่ร้าน “ข้าวเปียกปากหมา” ซอยโรบอท

ถ่ายรูปรวมชาวทริป ก่อนออกเดินทาง

 

12 คน บนหลังรถกระบะ (ภาพนี้ อีก 3 คนยังไม่ขึ้น)
สภาพผู้หญิง 7 คนอัดกันอยู่ในรถ (นั่งกันได้ไงวะ = =)
ณ ร้านข้าวเปียกปากหมา

หลังจากกินกันเสร็จ ก็ไปแวะซื้อเสบียงเตรียมขึ้นภูหลวง เนื่องจากเจ้าหน้าที่บนภูหลวงบอกว่าไม่มีอาหารให้บริการ ต้องหาอาหารขึ้นไปกินเอง

ก็เลยซื้อมาม่า ปลากระป๋อง ขนมปัง ทูน่า น้ำสลัด พริก ตะไคร้ ขึ้นไป

รอสาว ๆ ไปซื้อของ

หลังจากได้ของครบ ก็ออกเดินทางไปภูหลวง

ด้วยที่ต้องบรรทุกคน 12 คน พร้อมสัมภาระของคน 19 คน หลังรถจึงนั่งกันลำบากนิดหน่อย

สภาพขาเป็นดังรูป

ขาใครเป็นขาใครไม่รู้ เบียดกันมาก

นั่ง ๆ กันไปยังไม่ถึงที่หมาย แต่แต่ละคนเริ่มจะไม่ไหว หลังจากต้องเกร็งตัวตามโค้งต่าง ๆ ตามเส้นทาง เลยบอกให้พ่อหยุดแวะพักก่อน

ก็ไปหยุดแวะพักที่ร้าน คอฟฟี่ บัน ที่ตอนนี้กำลังปิดปรับปรุงอยู่

หลังจากยืดแข้งยืดขากัน ก็ขึ้นรถพร้อมลุยต่อ

แต่ผู้หญิงอยากเห็นว่าผู้ชายนั่งกันยังไง ผู้หญิงเลยรอดูก่อน

ภาพก็ออกมาเป็นเช่นนี้แล

เดินทางขึ้นเขา ลงเขาอยู่นาน กว่าจะถึงที่ทำการ

มีอยู่จุดนึง ทางเป็นแบบค่อย ๆ ขึ้น แล้วก็ดิ่งลงมาเลย ยังกะเล่นรถไฟเหาะ

ไปไหนก็ต้องถ่ายรูปกับป้ายที่นั่น กลัวไม่รู้ว่าไปมาแล้ว = =

พอถึงจุดบริการนักท่องเที่ยวแล้ว เราก็เอากระเป๋าไปเก็บที่พัก

ที่พักของเราแบ่งเป็นบ้าน 2 หลัง อยู่ข้างกัน แยกชาย หญิง กันคนละหลัง

แต่ละหลังจะมี 2 ห้อง

ที่พักบนภูหลวง

ทากเยอะมาก ๆ โดนทากกระโดดเกาะกันหลายคน ส่องเท้ากันจ้าละหวั่น

จากนั้นเราก็ออกเดินทางไป ลานสุริยัน

เดินเป็นวงกลม ระยะทางประมาณ กิโลกว่า ๆ

ระหว่างสองข้างทางก็เต็มไปด้วยกล้วยไม้ป่านานาชนิด

เสียดายมาไม่ถูกช่วง ถ้าเป็นช่วง กุมภา – เมษา กล้วยไม้พวกนี้จะออกดอก

แต่ตอนนี้ก็พอมีอยู่บ้าง

พอมาถึงจุดชมวิว ถือว่าเป็นที่เด็ดของลานสุริยัน

เมื่อขึ้นไป จะมองเห็นวิวได้แทบจะ 360 องศาเลย

ภาพถ่ายจากจุดชมวิวบนลานสุริยัน แบบพาโนรามา

 

บนจุดชมวิว

จากนั้นเราก็เดินต่อจนครบรอบ แล้วกลับไปรอดูพระอาทิตย์ตก

รอดูพระอาทิตย์ตกกัน
จะตกแล้วววว
ใบเมเปิ้ลแถว ๆ นั้น

 

ดวงตะวันลับขอบฟ้า เหล่าเทเลทับบี้บอกลา

จากนั้นเราก็ไปเตรียมอาหารเย็นกัน

ระหว่างที่เดินไปนั้น ก็ผ่านกลุ่มคนกลุ่มนึงที่กำลังกินข้าวกันอยู่ เขาก็ชวนกินข้าวกับเขา

เพื่อนก็ถามผมว่า รู้จักกันหรอ ผมก็บอกว่า ไม่รู้จักหรอก

แต่คนเมืองเลย เวลากินข้าวอยู่ แล้วมีคนเดินผ่าน แม้จะไม่รู้จัก ก็จะชวนกินข้าว ถือว่าเป็นเรื่องปกติ

ต้นมาม่า

อาหารเย็นของเรา ก็มี มาม่า กับยำปลากระป๋อง

นอกจากนี้…ยังสามารถสั่งไข่เจียวมากินได้ด้วย จานละ 40 บาท นุ่มมากขอบอก

สามารถสั่งข้าวเปล่าได้ด้วยนะ โถละ 60

(ไหนว่าไม่มีอาหารให้บริการไง = =)

กินข้าวเสร็จ ก็รีบกลับห้องไปอาบน้ำ

อยู่นี่ไม่มีน้ำอุ่นนะครับ

มีน้ำเย็นมากกกกกกก เหมือนออกมาจากตู้เย็นเลยทีเดียว

ตักอาบทีแทบร้อง

อากาศก็โคตรหนาว

แต่อาบออกมาแล้ว อากาศข้างนอกอุ่นไปเลย (จริง ๆ ตัวชา)

ระหว่างรอตัดไฟ เราก็มีกิจกรรมกลุ่มกันนั่นก็คือ…เล่นไพ่

เล่นไปจน 3 ทุ่ม เขาก็ตัดไฟ การตัดไฟของเขา ครั้งแรกจะดับเตือนก่อน จากนั้นจะติดขึ้นมา แล้วค่อย ๆ หรี่ลง

เราเลยต้องเลิกเล่นไพ่กัน แล้วก็แยกย้ายกันกลับห้องตัวเอง

พอดับไฟฉายจะนอนกัน

มืดตึ๊ดตื๋อ คือเราปิดหน้าต่างหมดเลย กลัวจะมีทาก หรือแมลงอะไรเข้ามา เลยไม่มีแสงจากภายนอกส่องเข้ามาเลย

นอกจากจะมือ แล้วยังจะเงียบอีก เงียบแบบเงียบมาก ๆ เงียบจนได้ยินเสียงกลืนน้ำลายกันเลยทีเดียว

แบบนี้แถวบ้านเรียก “มิดจี่หรี่” ก็แปลว่าเงียบมาก ๆ นั่นแหละ

ขอจบการเดินทางวันแรกไว้แค่นี้ก่อนครับ

ไว้มาต่อกันวันหลัง

ปล.ขอบคุณภาพประกอบจากเพื่อน ๆ ร่วมทริปนะครับ ^ ^

Comments

Leave a Reply

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.