กลับมาแล้วครับ หลังจากห่างหายไปนาน
ไม่ได้ลืม…แค่ไม่มีโอกาสเขียน
ที่ผ่านมาก็ได้ไปเที่ยวหลายที่ แต่ไม่ได้อัปบล็อก เพราะ…ตอนแรกกะว่าจะทำรูปให้เสร็จหมดก่อน ค่อยอัปบล็อกทีเดียว
แต่กลายเป็นว่า…กว่าจะทำรูปเสร็จหมด ก็ลืมไปหมดแล้วว่าไปที่ไหน ทำอะไร เมื่อไร ไปหมดแล้ว
คราวนี้เลยรีบอัปก่อน รูปค่อยแปะทีหลัง
ทริปนี้ เริ่มขึ้นเช้าวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2558 เวลา 6.20 น. ณ สนามบินดอนเมือง
เดินทางด้วยสายการบินนกแอร์ ถึงสนามบินสุราษฎร์ธานีประมาณ 7.30 น.
อยากจะบอกว่า กัปตันแลนดิ้งเครื่องบินได้นิ่มมาก…ขนาดเพื่อนที่หลับอยู่ ยังไม่ตื่น
เป้าหมายแรกของเราคือ เขื่อนรัชชประภา หรือ เขื่อนเชี่ยวหลาน
แต่…กองทัพต้องเดินด้วยท้อง เลยให้พี่คนขับรถตู้พาแวะร้านอาหาร ร้านอะไรก็ได้ แล้วแต่พี่จะแนะนำเลย
พี่แกเลยพาแวะร้านข้าวราดแกงข้างทาง
อาหารมื้อแรกก็ได้สัมผัสอาหารใต้เลยทีเดียว
ขนาดทอดมันปลากราย ยังใส่พริกแกงซะเยอะกว่าปกติที่หากินได้ในกรุงเทพเลย
กินเสร็จก็มุ่งหน้าไปที่เขื่อน
ระหว่างนั้น เห็นเพื่อนมัธยมเช็คอินในเฟสบุ๊คว่าอยู่สุราษฎร์เหมือนกัน เลยทักมันไป สรุปว่าไปเขื่อนเหมือนกัน แต่พักกันคนละที่
ถ่ายรูปเล่นที่สันเขื่อนสักครู่ ก่อนจะไปขึ้นเรือเดินทางไปที่แพ
หลังออกจากฝั่งได้ไม่เท่าไหร่…สัญญาณโทรศัพท์ก็ค่อย ๆ หายไป โดนตัดขาดจากโลกภายนอกแล้วสินะ
ไปถึงแพที่พักของเรา แพเชี่ยวหลานทัวร์ (https://www.facebook.com/chiewlarnraft) ก็เกือบเที่ยงพอดี
ก็เอาของไปเก็บที่ห้อง แล้วก็มากินข้าว
อาหารก็ยังคงมีความเป็นอาหารใต้เช่นเคย เผ็ดเครื่องแกง
จากนั้นก็กลับห้องไปนอนรอไปเที่ยวถ้ำปะการังต่อ
ประมาณบ่ายโมงครึ่ง ลุงดำก็มารับ
เดินทางสักครู่ก็มาถึงทางเข้า
ไม่ใช่ทางเข้าถ้ำปะการัง แต่เป็นทางเข้าป่าที่จะต้องผ่านเพื่อไปขึ้นเรือเพื่อไปถ้ำอีกที
ไม่ทันไรเราก็ได้แอดเวนเจอร์เดินป่ากันเลยทีเดียว
เดินเพลิน ๆ ขึ้นเนินบ้าง ลงเนินบ้าง ทางราบบ้าง สักครู่ก็ถึงท่าเรือที่จะไปยังถ้ำปะการัง
นั่งพักเหนื่อยกันสักครู่ แล้วก็เดินทางต่อ
นั่งเรือสักครู่…จริง ๆ เรียกว่าแพจะดีกว่า
ก็มาถึงทางเข้าถ้ำ…ซึ่งต้องปีนเขานิดนึง
จากนั้นไกด์ก็แจกไฟฉายคนละอัน (ไฟฉายที่เขาไว้ใช้ส่องกบ แต่ไม่มีสายคาดหัวมาให้)
ภายในถ้ำก็มีหินงอก หินย้อยอยู่มากมาย ซึ่งมันมีลักษณะคล้ายปะการัง เลยเป็นที่มาของชื่อถ้ำปะการัง
หลังจากเดินกันทั่วแล้ว ก็กลับทางเดิม
นั่งแพ แล้วก็เดินป่า….
แล้วก็นั่งเรือกลับไปยังที่พักของเรา
กลับมาถึงที่พัก แดดร้อนเกินกว่าที่จะพายเรือคายัค หรือเล่นน้ำ เราเลยเลือกที่จะนอน
เย็น ๆ เราก็ตื่นมาพายเรือคายัคเล่นแถว ๆ หน้าแพจนมืด ถึงเวลาอาหารเย็นพอดี
อาหารเย็นของเรามีหลายอย่าง โดยไฮไลท์อยู่ที่แกงส้ม และไข่เจียวที่เติมได้ไม่อั้น พี่แมวเจ้าของที่พักบอกว่า กินได้ไม่อั้นจนถึงเช้าเลย ดึก ๆ ถ้าหิวเดินมาทอดกินเองก็ได้
กินไปได้สักครู่ ก็ปิดเพลง พี่แมวก็พูดนู่น นี่ให้บรรดาแขกที่มาพักฟัง เช่นแนะนำที่เที่ยวในสุราษฎร์ ประวัติความเป็นมาของแพ และทำความรู้จักแขกที่มาพักมาจากไหนกันบ้าง ปิดท้ายด้วยการร้องคาราโอเกะ
เพื่อนเราก็ไม่น้อยหน้า…ออกไปร้องตั้ง 2 เพลง
ระหว่างนั้นก็ผลัดกันไปอาบน้ำ…
จากนั้นก็รีบเข้านอน เพราะเรานัดกันไว้ว่าจะตื่นมาถ่ายทางช้างเผือกตอนตี 3 (จากการคำนวณผ่านแอป)
แต่ก็นอนไม่ค่อยได้หรอก…เสียงคาราโอเกะอย่างดัง แต่เสียงห้องข้าง ๆ คุยกันเสียงดังกว่า – –
กว่าจะหลับก็เที่ยงคืน (มั้ง)
ตี 3 ตื่นมา ออกมาหน้าห้อง มืดมาก เห็นดาวเต็มฟ้าเลย
ก็ถ่ายไปเรื่อย ๆ จนตี 5 ทางช้างเผือกเริ่มอยู่สูงเกินแล้ว ก็กลับมานอน
วันที่ 1 มีนาคม 2558
เราตื่นกันประมาณ 6 โมงนิด ๆ เพื่อจะไปชมกุ้ยหลิน (เอ่อ…ไอ้ถ่ายดาวเมื่อกี้มันต้องเป็นของวันนี้ดิเฮ้ย)
แม้ว่าจะเข้าหน้าร้อนแล้ว แต่เราก็ยังได้เห็นเมฆลอยอยู่ยอดเขา
เมฆยอดเขา บวกกับ แสงเช้า เป็นอะไรที่สวยมาก
จากนั้นก็กลับมากินข้าวเช้า
มื้อนี้เป็นข้าวต้ม ยำไข่เค็มไชยาเด็ดจริง ๆ
จากนั้นก็กลับไปอาบน้ำ….เก็บของ…นอนต่อ – –
ระหว่างนั้น เพื่อนก็ไปคุยกับพี่แมว ว่าจะไปเที่ยวที่ไหนต่อดี (ไม่ได้วางแผนอะไรเลย)
เพื่อนกลับมาบอกว่า พี่แมวกำลังจะเปิดรีสอร์ทแถวภูลมโลด้วย ซะงั้น
ประมาณ 10 โมง เราก็นั่งเรือกลับเข้าฝั่ง พอใกล้ฝั่ง สัญญาณโทรศัพท์เริ่มมา ได้เวลากลับสู่โลกอินเตอร์เน็ทอีกครั้ง
ก่อนอื่น แวะซื้อน้ำแก้วโอ่งบริเวณท่าเรือก่อน
ติดใจตั้งแต่ตอนขาไป
ร้านนี้เขาขายพวกชา กาแฟ น้ำหวาน อะไรพวกนี้ แต่เขามีแก้ว 2 ขนาด ขนาดธรรมดา แก้วละ 30 บาท กับขนาดแก้วโอ่ง แก้วละ 40 บาท
ตอนขาไปเราสั่งแก้วธรรมดากัน แต่ระหว่างที่รอคิว เห็นคนก่อนหน้าสั่งแก้วโอ่ง ขากลับเราเลยสั่งแก้วโอ่งกันบ้าง
เยอะเกิ๊นนนน กว่าจะกินหมด
จากนั้นมุ่งหน้าเข้าเมือง ไปที่พักก่อนเลย
เราพักกันที่ Smith Residence (https://www.facebook.com/SmithResidence.TH)
เป็นของคนรู้จักของเพื่อนครับ เลยได้ที่พักราคาถูก
เก็บของเสร็จ ก็ออกไปหาข้าวเที่ยงกิน
เดินออกจากโรงแรมไปได้นิดเดียว ก็เจอร้านข้าวหมูแดง หมูกรอบ ข้าวหน้าเป็ด
ไม่คิดไม่ฝันว่าอาหารออกจะจีนแบบนี้ จะมีรสชาติแบบอาหารใต้ได้
น้ำราดร้านนี้ ใส่เครื่องเทศมาเต็มที่ แต่มันอร่อยมาก ลืมแบบที่เคยกินในกรุงเทพไปได้เลย
แล้วก็กลับมาที่พัก รอแดดร่มลมตกก่อน ตอนนี้แดดแรงเกิน ไม่มีใจจะไปไหน
เย็น ๆ ประมาณ 4 – 5 โมง เราก็โบกตุ๊ก ๆ จากหน้าที่พักไปตลาดน้ำบ้านดอน
ของกินเพียบ เดินไป กินไป ถ่ายรูปไป
จากนั้นก็จะไปหาร้านนมนั่งชิลล์ ดูจากแอปวงใน แถว ๆ ตลาดมีอยู่ร้านนึง แต่เพื่อนแนะนำว่าไปแถวศาลหลักเมืองดีกว่า ก็เลยไป แล้วก็เปิดวงในหาร้านแถวนั้นอีกที แต่…ไป 2 ร้าน ปิดทั้ง ร้าน เลยได้กลับมากินที่ร้าน Mouth 2 Mouth อยู่หน้าที่พัก
ร้านเป็นแนว Pub & Restaurant คราวนี้เรากินอาหารฝรั่งกันบ้าง เปลี่ยนบรรยากาศ
แล้วก็กลับที่พัก นอนเก็บแรงไปเที่ยวสมุยต่อในวันพรุ่งนี้
(ต่อ Part 2 นะครับ)